5 วิธีเปลี่ยนคุณให้เป็น Leader
ใครๆก็อยากเป็นเจ้าคนนายคน ก็พ่อแม่เราสอนเอาไว้ เรียนให้สูงๆจะได้เป็นเจ้าคนนายคน ซึ่งก่อนจะไปถึงตรงนั้น ก็ต้องแลกมาด้วยอะไรหลายอย่างเลย ผมเองก็อยู่ในตำแหน่ง leader เพราะว่ามีทีมที่ต้องคุมกว่า 30 ชีวิตเข้าไปแล้ว เลยเอาเรื่องที่ผมมองเห็นมาแชร์ให้ฟังดีกว่า กับ 5 วิธี เปลี่ยนคุณให้เป็น Leader
บริหารจัดการตัวเองให้ได้
ผมพูดให้น้องในทีมฟังเสมอ การที่จะขึ้นมาคุมคน คุมงาน คุม project ได้ ต้องเริ่มต้องจากการบริหารจัดการตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าเราบริหารจัดการตัวเองได้แล้ว เราจึงจะสามารถมีเวลาเหลือมากพอที่จะไปบริหารจัดการคนอื่น หรืองานต่อได้ อันนี้ไม่ซับซ้อนและตรงไปตรงมามากๆ
ตัวอย่าง เวลาทำงาน 8 ชั่วโมง แต่ทำไป เล่นเน็ตไป เล่น facebook ไป ตอบกระทู้ไป สลับทำงานบ้าง เพลินเลย สุดท้ายก่อนเลิกงานก็ปั่นแหลก แล้วก็ต้องกลับดึก ก่อให้เกิดความเครียด ไม่ได้ออกกำลังกาย เสาร์อาทิตย์ก็ทำงานต่ออีก ไม่งั้นไม่เสร็จ จะไปเที่ยวก็ไม่กล้า จะหยุดงานก็กลัว เละไปหมด
มองภาพรวมให้เป็น
โดยเฉพาะ คนที่โตมาจาก technician พวกนี้จะติดความเฉพาะเจาะจงมากจนเกินไป ทำให้เวลาทำงาน จะไม่มองภาพรวม เพราะมองแต่จุดเล็กๆ ส่งผลให้เอาจุดเล็กๆมาเป็นประเด็นใหญ่ทำให้โครงการถึงกับเป๋ไปเลยก็มีมานักต่อนัก
ตัวอย่าง เวลามีลูกค้า หรือ เจ้านายสั่งงานที่เป็นลักษณะขอใหม่ innovation ก็จะแย้งเลย แต่ว่าทุกวันนี้ยังไม่มีใครทำได้เลยนะ เพราะว่ามันมีข้อติดขัด นู่น นี่ นั่น โน่น อธิบายเป็นฉากๆ จนคนทั้งห้องคล้อยตามเลย แต่เราได้เสียงานที่อาจจะมีมูลค่ามหาศาลนั้นไปแล้วโดยไม่ทันรู้ตัว
ทำงานด้วยความละเอียด
หลายคนพองานเยอะ ก็จะเริ่มลวกๆ พอสุกๆก็กินได้เลย หรือที่เค้าเรียกว่า “งานหยาบ” ก็คือไม่ได้ลงดูรายละเอียดเลย งานหลายอย่าง ต้องการความละเอียด เพราะว่ามันจะส่งผลกระทบต่อคนอื่นมากหากเราไม่ดูให้ละเอียด จะทำให้การวางแผนงานนั้นๆผิดพลาด อาจจะร้ายแรงถึงไม่สามารถขึ้นงานได้เลยก็มี
ตัวอย่าง เวลามีคนส่งเมลมาก็อ่านกวาด เห็นว่าไม่มีชื่อเราก็ลบ แล้วเค้าก็แสดงความเห็นกันไปมา เราก็คิดว่าไม่เกี่ยว ก็ลบๆไปเรื่อย จนหารู้ไม่ว่า งานที่เค้าเสนอ idea กันนั้น กระทบต่อทีมตัวเองเต็มๆ ก็ต้องรับไปเต็มๆ หรืออีกตัวอย่างก็คือ เวลาที่มีคนส่งเมลเข้ามา แล้วให้เราช่วยตรวจสอบแล้วส่งต่อ ก็มักจะเกิดความมักง่ายด้วยการ forward เมลไปให้ลูกน้องช่วยตรวจเลยทันที ซึ่งจริงๆแล้วเนื้อหาในอีเมลนั้นอาจจะผิด หรือ ไม่รู้เรื่อง หรือเป็นการสั่งงานจากพฤติกรรมปกติของคนในบริษัทเลยก็ได้ ลูกน้องที่ได้คำสั่งก็ทำตาม กว่าเราจะรู้ตัว ก็เกิดความเสียหายไปแล้ว แล้วเราก็จะถามว่า เกิดขึ้นได้อย่าง ทุกคนก็จะ point มาเลยว่าเราเป็นคนสั่งเอง (จากอีเมลนั้นแหล่ะ)
ให้ลูกน้องเก่งกว่า
อันนี้ต้องยอมรับให้ได้ และต้องยอมให้เกิดขึ้นด้วย สาเหตุเพราะเราไม่สามารถทำงานทุกอย่าง ทำทุกงานได้ด้วยเราตัวคนเดียว เราต้องยอมให้ลูกน้องเก่งกว่าเรา ถ้าเราจะไปเก่งแข่งกับลูกน้อง ท้ายที่สุดเราก็จะเอาทุกงานมาทำเองหมด เพราะเราไม่ไว้ใจใคร เรื่องนี้มีนัยยะก็คือ เราต้องสร้าง trust ให้เกิดขึ้น ว่าเค้าก็เก่งและเชี่ยวชาญในงานของเค้านะ
ตัวอย่าง ถ้าเราเปิดร้านรับสร้างบ้าน เราจะก่อ อิฐ ฉาบปูน เทคาน ทาสี เองทั้งหมดหรือเปล่า เราทำไม่ไหวหรอก เราต้องมีลูกมือ ซึ่งลูกมือเค้าก็จะเชี่ยวชาญในแต่ละด้านอยู่แล้ว เช่นการทาสี เทปูนผสมปูน ก็ให้เป็นหน้าที่และความเก่งของเค้าเถอะ
ปั้นคนขึ้นมาแทนเรา
ถ้าเราต้องการขยายความเก่งของเราเพิ่ม เพื่อให้ได้งานเพิ่ม เราก็ต้องมีคนทำงานอย่างที่เราทำได้เพิ่มขึ้นอีก สิ่งเหล่านั้นมันลอยมาเองไม่ได้ เราต้องสร้างขึ้นมาเอง ผมมีความเชื่อว่า ถ้าคนที่ไฝ่ดีไฝ่เรียนรู้ต่างกระหายความอยากที่จะก้าวหน้าอยู่แล้ว ดังนั้นเราก็บอกไปเลยว่า ผมจะปั้นคุณให้ทำงานแทนผมให้ได้ แล้วเราก็ต้องทำตามนั้นด้วยนะ คือสอน แนะนำ บอกกล่าว ทุกอย่างที่เค้าควรจะรู้เพื่อให้เค้าขึ้นมาแทนเราให้ได้ เพราะสุดท้าย ถ้าเค้าเก่งขึ้นมาก งานเราก็จะสบายไปด้วย ก็ถือว่าเป็น win-win solution เลย และเราไม่ต้องไปกลัวว่า เราจะไม่มีงาน เมื่อวันที่ลูกทีมเก่งกว่าเรา เพราะเราก็จะต้องไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเองด้วยเช่นกัน ดังนั้นโอกาสที่จะขึ้นมาทันเรานั้นยากแน่นอน
ตัวอย่าง ถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการขนาดไม่ใหญ่มาก ที่พึ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน แล้วเราอยากพักผ่อน โดยที่เรายังได้เงินอยู่ เราก็แค่ปั้นคนเก่งๆขึ้นมาเพื่อให้ทำงานแทนเราให้ได้ เมื่อทำงานแทนเราได้แล้ว เราก็จะได้มีเวลาไปพักผ่อนโดยที่เรายังมีรายได้มากกว่าเดิม หรือ น้อยกว่าเดิมนิดหน่อยแต่ได้พักผ่อนมากขึ้น หรืออาจจะเอาเวลาไปขยายธุรกิจต่อก็ยังได้
จะเห็นได้ว่า ไม่ยาก และไม่ง่ายจนเกินไป ผมเองผ่านเรื่องนี้มาทั้งหมดแล้วเช่นกัน เลยสามารถขมวดเอาประสบการณ์มาถ่ายทอดให้ฟังได้ตรงนี้นั่นล่ะครับ