เรื่องนี้ผมสอนน้องในทีมตอน Town hall ครั้งล่าสุด แต่หยิบมาเล่าสู่กันฟังดีกว่า เพราะเชื่อว่ามีประโยชน์กับใครอีกหลายคน แน่นอน!
ตั้งใจทำงานอย่างดี สุดท้ายเป็นได้แค่ Worker
มันคือการวางตัว และการวางความคิดเอาไว้ในมิติที่ถูกต้องก่อน หลายคนที่ตั้งใจทำงานมาก ทำงานออกมาให้ดีที่สุด เท่าที่ทำได้ แต่เจ้านายมองเป็นแค่ Worker คนนึง เหตุมาจาก ขาดการพัฒนา ขาด passion ในงาน งานที่ทำดี เป็นงานที่ทำซ้ำซาก แบบนี้เจ้านายชอบ เพราะว่าเป็น Worker ชั้นเยี่ยม โดยเฉพาะงานที่มองว่า เอาใครมาทำแทนก็ได้ ขอแค่ทำให้ออกมามากกว่า ดีกว่าในแบบเดียวกัน เท่านั้นพอ นี่แหล่ะ Worker เต็มตัว
Worker วัดผลได้อย่างชัดเจน เกิดคู่แข่งได้ง่าย
เมื่อเราทำงานอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วเราวัดกันที่ เร็วกว่า ถูกกว่า ได้ผลดีกว่า โดยต้องได้มากกว่าคนอื่น นั่นล่ะคือการเข้าใกล้ความเป็น Worker เข้าไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดเราก็จะไม่สามารถหลุดออกมาจากตรงนั้นได้ เพราะมุ่งเน้นการพัฒนาที่ผิดจุด และเมื่อไรก็ตาม ที่มีคนที่ทำได้ เร็วกว่าเรา ถูกกว่าเรา ได้ผลดีกว่าเรา เมื่อนั้นเราตกกระป๋องทันที
Partner คืออีกขั้นของ Worker แบบมือโปร
เราทำงานเราต้องเลิกการวัดเปรียบเทียบก่อน แต่เราต้องทำงานแบบใส่ใจคนทำงานรอบๆข้างเราด้วย ไม่มีงานไหนในโลกที่ทำคนเดียวโดยไม่ต้องเกี่ยวกับใครเลยหรอกครับ แต่เกี่ยวมากหรือน้อยก็เป็นอีกเรื่อง โดยเฉพาะคนที่เป็นเจ้านายที่มีลูกน้องเยอะ มีคนต้องติดต่อหลายฝ่าย หลายส่วนงาน เหล่านี้ ยิ่งต้องสร้าง Partner เอาไว้ จะเป็นผลดีต่อเรามาก
สร้าง Partner ง่ายกว่าที่คิด
วิธีการทำให้เราเป็น Partner เริ่มได้เลย โดยเฉพาะคนที่เค้าสั่งงานเราโดยตรง เริ่มด้วยการวิเคราะห์ความต้องการของเค้าก่อน ว่างานนั้นเค้าอยากได้อะไร เมื่อเรารู้แล้ว ก็ลงมือทำ ในระหว่างที่ทำ ก็มองหาสิ่งที่ต้องพัฒนาและปรับปรุงไปเรื่อยๆ ว่ามีอะไรบ้างที่ควรเปลี่ยนเพื่อให้ดีขึ้น หรือ ลดปัญหาต่างๆลง เมื่อเราทำงานเสร็จ ก็ก็ส่งมอบงาน พร้อมกับ แนวทางที่เราได้วิเคราะห์เอาไว้ทั้งหมด แบบนี้แหล่ะ คือการทำงานแบบ Partner กัน
อีกแนวทางก็คือ เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ทุกครั้งที่เค้าสั่งงานเรามา แล้วอาจจะเกิดปัญหาติดขัด เราทำให้ไม่ได้ ก็ต้องอธิบายให้เข้าใจ พร้อมทั้งหาทางเลือกให้เค้าด้วย ว่ามีทางเลือกไหนบ้าง และแต่ละทางเลือกมีข้อดีข้อเสียอย่างไรเพื่อให้เค้าเลือกได้อย่างที่เค้าต้องการเอง และไม่ว่าทางไหน เราก็ต้องพร้อมที่จะ support เค้า ไม่ใช่ให้ทางเลือกเพื่อปัดออกจากตัวเรา แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าเป็น partner
เป็น Partner กันแล้ว ก็จะเหมือนมีผู้ช่วยเราไปในตัว
เมื่อเราทำงานเป็น Partner กับใครแล้ว เค้าจะช่วยเราทำงานโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย อันนี้ประสบการณ์ตรง ก็คือ เมื่อเราเป็น Partner กับอีกฝั่งหนึ่งแล้ว เวลาที่เราติดปัญหาอะไร หรือ เวลาที่เค้ากำลังจะมาสั่งงานอะไรที่ไม่ Make sense เค้าจะเบรค แล้วคิดแทนเราก่อนว่า แบบนี้ไม่เหมาะ ไม่ถูกต้อง ไม่ทำ โดยที่เรายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ นั่นแหล่ะครับ จะถือได้ว่าเป็น Partner กันแล้วโดยสมบูรณ์ เพราะว่าเราจะสามารถคิดแทนเค้าได้ และเค้าก็คิดแทนเราได้ด้วย เห็นมั้ย มีคนช่วยเราทำงานแล้ว
Partner คือคนที่จะสนับสนุนเรา
แน่นอนว่า การทำงานในบริษัท ไม่มีทางที่ทุกคนจะเป็น Partner ซึ่งกันและกันได้ครบทุกคน แต่ยิ่งเรามี Partner มากขึ้นเท่าไร เราก็จะได้รับการสนับสนุนมากขึ้นเท่านั้น อันนี้ก็ประสบการณ์ตรงอีกเช่นกัน เพราะคนที่ผมทำงานด้วย เค้าบอกเลย ว่าถ้าต้องขึ้นคุมทั้งหมด ก็ไม่เห็นว่าใครจะเหมาะสมเท่าผมอีกแล้ว
Partner ไม่ใช่การเมือง ไม่ใช่การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
อันนี้ต้องบอกเลยว่าผมเองก็เป็นคนที่ไม่ชอบการเมืองและไม่สนใจจะเล่นการเมืองในบริษัทด้วย เพราะการเมืองเป็นตัวบ่อนทำลายบริษัทโดยไม่รู้ตัว หากมีการแตกกลุ่ม ก๊ก มากขึ้นเท่าไร บริษัทยิ่งแย่เท่านั้น เพราะการทำงานจะสะดุดติดขัดจากการขัดกันระหว่างฝ่ายนั่นแหล่ะ แต่ว่า partner ไม่ใช่การเมือง เพราะว่ามันคือความสัมพันธ์ในการทำงานระหว่างเรากับคนอื่นซึ่งจะดีที่สุด ถ้าเราเป็น Partner กับคนทั้งบริษัท เพราะทุกคนก็จะช่วยเหลือเราเป็นอย่างดีเมื่อถึงเวลา โดยการเป็น partner นี้เราก็ไม่ต้องเหยียบใครเพื่อจะให้ได้เป็น Partner กับใครด้วย ดังนั้น ใสสะอาด
สรุป มองงานตัวเองให้ดี ว่าตอนนี้เราทำงานเป็น Partner หรือ Worker อยู่ ยังมีเวลาที่จะเปลี่ยนตัวเองได้ ให้รีบเปลี่ยน ถ้าใครไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนยังไง ลองมาคุยกับผมครับ โดยอธิบายมาว่าทำงานประมาณไหนยังไง เมื่อผมเข้าใจทั้งหมดแล้ว ผมจะอธิบายและแนะแนวทางให้ฟังว่าการที่เราจะเป็น Partner ได้ต้องทำตัวอย่างไร