อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง
วันนี้มีเรื่องน้องฝึกงาน ขอยกเลิกการฝึกงาน ทั้งที่เมื่อตอนสัมภาษณ์ ตั้งใจว่าจะเข้ามาศึกษาหาความรู้อย่างดีมาเล่าให้ฟัง
เริ่มต้นน้องในทีมผม เค้าแนะนำเพื่อนมาคนนึง บอกว่า น่าจะให้เข้ามาช่วยเค้าทำงานได้ แต่เมื่อผมสัมภาษณ์แล้วพบว่า เค้าไม่มีพื้นฐานในสายงานด้านนั้นเลย (มีในขั้นน้อยมากไม่สามารถใช้งานได้จริง) และจริงๆน้องต้องจบแล้ว แต่ว่าประสบปัญหาเรื่องทุนทรัพย์ ทำให้ต้องหยุดเรียนแล้วกลับมาเรียนที่มหาลัยเปิดแห่งหนึ่ง ตอนนี้จะจบแล้ว แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนที่มักจะให้โอกาส ก็เลยเสนอว่า ถ้าจะสมัครเพื่อทำงานเป็นพนักงานประจำ ก็จะขอปฏิเสธตรงนี้เลยเพื่อจะได้ไม่ต้องรอผล แต่ถ้าจะสมัครเพื่อฝึกงานผมก็จะส่งเรื่องไปเพื่อให้ทางส่วนอื่นๆพิจารณาต่อได้ แล้วเราก็ learning ไปพร้อมกัน จนวันที่พร้อม ก็อาจจะเข้ามาเป็นประจำได้
น้องก็เลยบอกว่าได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอมาฝึกงานก็ได้ เพราะว่าจะได้รับความรู้ที่ได้จากที่นี่ตลอดในช่วงการฝึกงาน เพื่อเอาไปเป็นประสบการณ์ติดตัวในอนาคต และตอนนี้ก็ยอมรับว่ายังไม่มีความรู้จริงๆ ซึ่งผมก็บอกได้ยินดี และถ้าฝึกงานจนจบ แล้วคิดว่าตัวเองพร้อม ผมก็ยินดีที่จะรับเข้าทำงานต่อเลยเช่นกัน เห็นว่าน้องก็พักอยู่ไกล ก็เลยถามว่า คาดหวังว่าจะได้ค่าตอบแทนเท่าไร น้องก็บอกมา X บาทครับ ผมก็ OK เดี๋ยวรับเรื่องเอาไว้ก่อนเพราะว่า ผมไม่เคยมีน้องฝึกงานในทีม (ที่บริษัทนี้) เลยยังไม่รู้ว่าขั้นตอนหรืออะไรต่างๆต้องทำอย่างไร ขอไปเดินเรื่องก่อน รวมทั้งค่าตอบแทนด้วย
จำได้ว่าเดินเรื่องอยู่ 2 อาทิตย์ ติดต่อใครหลายคนมาก จนในที่สุดก็ได้มาก็แจ้งผลไป มาเริ่มฝึกงานได้ ตามวันที่น้องเคยแจ้งมาว่าจะสะดวก โดยจะมีค่าตอบแทนให้ Y บาท ซึ่ง Y บาท มาจาก X+30% คือให้เพิ่มจากที่น้องขออีก 30% ครับ
วันมาเริ่มจริง ก็ผมให้รุ่นน้องประกบเลย เพราะว่ารุ่นน้องผมบอกว่าเดี๋ยวจะดูแลเองครับพี่ เพราะว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน ผมก็ OK ตามนั้น
ฝึกงานได้ 2 วัน วันที่ 3 ส่งเมลมาลาแต่เช้า ว่าขอไปเข้าเรียน (แจ้งเช้าวันที่หยุดเลย) ผมก็เลยแนะนำไปว่า ไม่ OK ที่ทำแบบนี้ เนื่องจากการลาหยุดเราควรจะแจ้งล่วงหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่อนุญาตนะ แต่ถ้าไม่แจ้งล่วงหน้า แล้วมันกระทบส่วนงานอื่น เพราะว่าวันเดียวกันนั้น น้องในทีมผมก็ลากิจไปพอดี สรุปหยุดตรงกันสองคนเลย (แต่น้องในทีมผม แจ้งล่วงหน้ามาก่อน ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว) คือเรื่องทั่วไปอะไรแบบนี้ ผมก็จะค่อยๆสอนให้น้องได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆครับ เพราะว่าน้องทุกคน จะต้องโตขึ้นมาเป็นพนักงานที่ดีมีคุณภาพ ไม่ว่าจะทำงานที่นี่หรือทำงานที่ไหนก็ตาม แต่เค้าต้องเป็นคนที่ทำงาน คิด วางแผนล่วงหน้าอย่างมีระบบระเบียบได้ คิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำว่าจะกระทบกับใครยังไงหรือเปล่า อะไรแบบนี้ครับ ผมสอนน้องทุกคนในทีมเสมอเมื่อมีโอกาส
เช้าวันต่อมา เมลแจ้งขอยกเลิกการฝึกงานเลย
ผมก็ตอบเมลน้องเค้าไป รวมทั้งประสานงานส่วนงานต่างๆ เพื่อให้ทำการยกเลิกข้อมูลของน้องเค้า (ขั้นตอนตามปกติ เมื่อมีพนักงานลาออก) ออกจากระบบ รวมทั้งก็ตอบเมลน้องเค้าไป ใจความหนึ่งคือ
ก็แล้วแต่เส้นทางที่น้องเลือกเดินเองนะครับ เพราะว่า อนาคตยังมีเส้นทางที่ลำบากกว่านี้อีกมากรอน้องอยู่ บางครั้ง งานจริงที่เราต้องไปทำเราก็เลือกที่ไกล้ที่พักไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส แต่ถ้าน้องไม่ได้มองว่า นี่เป็นบทพิสูจน์นึงที่จะผ่านไปให้ได้ เพื่อให้อนาคตเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งเพราะเรื่องที่หนักมากกว่านี้ก็เจอมาแล้ว ก็คงต้องแล้วแต่ตัวน้องเองเป็นผู้ตัดสินใจครับ แต่พี่ก็ได้ให้โอกาสแล้ว ที่จะให้น้องเข้ามาได้เรียนรู้ครับ
ที่ผมตอบอย่างนั้น เพราะว่า ตอนที่ผมเรียน ป.ตรี ผมได้เข้าประชุมเชียร์ ซึ่งในนั้น ร้อน เหนื่อย แย่ และหนักมากเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งเลย แต่ว่าสิ่งที่พี่ว๊ากสอนผมก็คือ ถ้าแค่นี้ยังทนไม่ได้ ยืนนิ่งๆยังยืนไม่ได้ เหงื่อออกแค่นี้ยังทนไม่ได้ ก็เดินออกไปเลย ไม่ได้บังคับคุณเข้ามา แต่ให้รู้เอาไว้ว่า ในอนาคตยังมีเรื่องที่หนักกว่านี้อีกมากรอคุณอยู่ แต่มายืนเหงื่อออกในห้องแคบๆแค่นี้ยังเป็นเรื่องเล็กกว่ามาก ซึ่งตอนนั้นผมก็คิดว่า ต้องผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ ไม่ว่าสถานการณ์มันจะแย่แค่ไหนก็ตาม (เพราะผมก็รู้ว่า ประชุมเชียร์ ก็มีข้อจำกัดในระดับหนึ่งเท่านั้น ยังไงก็ทนได้ แต่อนาคต อาจจะเจอสิ่งที่หนักกว่า ซึ่งจำกัดความเสียหาย หรือ ร้ายแรงไม่ได้ด้วย) นั่นแหล่ะครับที่สอนให้ผมแข็งแกร่ง และโตมาจนถึงทุกวันนี้ได้
แต่สุดท้าย ผมก็เค้ารพในการตัดสินใจของน้องเค้านะครับ เพราะว่าผมก็ไม่ได้ไม่เสียกับน้องเค้าด้วยอยู่แล้วครับ ความรู้ก็เป็นของตัวน้องเค้าเอง เงินจ้างก็ของบริษัท ถ้าน้องเค้าคิดว่า ไม่โอเค ทุกคนก็เลือกได้ครับ (ภาพวันที่ประชุมเชียร์ลอยมาเลย 5555)