Big Bad Wolf คืออะไร คืองานหนังสือ ภาษาต่างประเทศ
ผมไม่รู้มาก่อน ว่ามันคืออะไร จนกระทั่งได้ยินชื่อนี้จากเพื่อน ที่บอกแค่ว่ามีงานหนังสือนี้นะ อยู่ที่ อิมแพ็ค เค้าเปิดขายตลอด 24 ชั่วโมงเลย ลองแวะไปดูสิ ผมไม่เคยได้ยิน และไม่ได้ทำการบ้านอะไร รู้ว่าเป็นงานหนังสือ 24 ชั่วโมง ก็น่าจะแปลกดี ก็เลยไปครับ ไปหาหนังสือน่าอ่านหน่อยดีกว่า
ไปถึงสามทุ่มกว่า ก็มีหนังสือภาษาไทย ขายหน้างานนิดหน่อย ก็มีหนังสือใหม่บ้าง เก่าบ้าง ไม่กี่สำนักพิมพ์มาวางขาย ผมก็เดินหน้างานทั่วแล้ว ก็ได้เวลาเดินเข้าไปข้างใน Hall แต่ก่อนเข้าไป ก็แปลกใจนิดหน่อย เพราะมองเข้าไปใน Hall บรรยากาศไม่เหมือนงานหนังสือที่เคยเดิน คือ ใน Hall ไม่มี booth ขายหนังสือจากสำนักพิมพ์ต่างๆมาตั้ง แต่กลับมีหนังสือ และของต่างๆ วางเป็นส่วนๆ ทั่วทั้ง hall แทน
เดินเข้าไปใน Hall จำได้ว่าเป็น zone ขายของแนวคล้ายๆ ของที่ระลึก ที่เข้า theme กับหนังสือ แล้วก็ ไปเจอ zone หนังสือสำหรับเด็กก่อนเลย ตอนนั้น ผมเริ่มเอะใจเล็กน้อย เพราะว่า หนังสือทุกเล่มที่มองเห็น มันเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ทั้งหน้าปกและเนื้อใน ผมก็เลยรีบเดินไปคร่าวๆ ตัดซอยไปมา เป็นหนังสือนวนิยาย หนังสือการ์ตูน ทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ!
ผมตระหนักได้ว่า สงสัยจะมาผิดงานแล้ว…..
ไม่ได้ผิดที่เข้าผิด Hall เพราะมาถูก มันคือ งาน Big Bad Wolf เลยนี่แหล่ะ แต่ที่ผิดงาน ก็คือ ผมไม่ได้เป็นคนอ่านหนังสือภาษาต่างประเทศ! เล่มสุดท้ายที่อ่านจริงจัง ก็คือ Text book ตอนเรียน ไฟฟ้า สมัย ป.ตรี ซึ่งความทรงจำเลวร้ายมาก คืออ่านแล้วก็หลับ ตั้งใจอ่านก็หลับ ไม่ตั้งใจอ่านก็หลับ ถ้าไม่นับหนังสือการ์ตูน ebook เรื่อง walking dead ก็ไม่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษเล่มอื่นอีกเลย แล้วตอนนี้มาเดินอยู่ในงานหนังสือ ที่ขายแต่หนังสือต่างประเทศ!
ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำใจครับ แล้วก็คิดว่า เอาน่า ไหนๆก็มาเดินแล้ว ก็เดินให้ทั่วงาน จะได้รู้ว่ามีอะไร คราวหน้าจะได้ไม่มาอีก
ก็ค่อยๆเดินอย่างจริงจัง คือ เดินทุกตรอก ทุกซอย อ่านหน้าปกว่ามันคือเรื่องอะไร แล้วเปิดมาดูบ้าง ก็ทำให้ได้พบว่า หนังสือหลายเล่มของต่างประเทศเค้าทำดีมากๆ อย่างหนังสือที่เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ เค้าก็ทำเป็น pop up หรือ ทำให้มี movement บางอย่าง ในตัวหนังสือ เพื่อประกอบการเล่าเรื่องของหนังสือเล่มนั้นได้ นั่นทำให้มันดึงดูดผมมากขึ้น ผมก็เลยเดิน แล้ว ก็อ่านว่าเค้าขายหนังสืออะไรยังไงบ้าง ก็พบว่า หนังสือที่เค้าเอามาขายนั้นหลากหลายเรื่องมากจริงๆ แต่เว้นเรื่อง programming หรือ เฉพาะทางมากๆ แบบแนว text book ตำราเรียน พวกนี้จะไม่มีขายในงาน มีเรื่องที่เป็นศาสตร์ประยุกต์ในด้านต่างๆมากกว่า หรือว่า หนังสือที่เกี่ยวกับ บ้าน หรือ design เค้าก็ทำมาได้ดีมาก ภาพสวย print ดีกระดาษดี
ที่สำคัญ ราคาถูกกว่าปกมากๆ แต่… ถูกกว่าปก ก็ไม่ได้แปลว่าราคาถูก ต้องเข้าใจก่อนว่า หนังสือบ้านเราหลายคนอาจจะบอกว่าแพง แต่หนังสือต่างประเทศเค้าขายแพงกว่าเรามากๆ โดยทั่วๆไป หนังสือบ้านเค้าราคาจะประมาณ $25 หรือ ประมาณ 900 บาท แต่ว่าในงานก็เอามาขาย 180 บาทบ้าง 200 บาทบ้าง คละกันไป บางเล่มก็แพงกว่านั้น เล่มนึง ราคาเป็น พันบาทก็มี (แต่ราคาเต็มที่หน้าปกก็แพงกว่านั้นมาก) ดังนั้นถ้าคนที่เป็นหนอนหนังสือตัวจริง หรือว่าหาหนังสือ ที่ไม่มีหรือไม่ผลิตในไทยแน่นอน จะหมดกับงานนี้หลักพันเป็นเรื่องธรรมดา และ หมดหลักหมื่น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ
ผมก็พยายามเดินดูให้ทั่วๆ แล้วก็เปิดอ่านหนังสือที่คิดว่าน่าสนใจ ซึ่งบางเรื่องก็ดูน่าสนใจ บางเรื่องดูดีแต่ปก เนื้อหาไม่น่าอ่าน ไปๆมาๆ ผมก็ได้มาสามเล่มครับ ถ้าจำไม่ผิด รวมประมาณ 700 บาทได้ ซื้อด้วยความที่เนื้อหาก็ดูน่าสนใจ และ ก็เสียดายที่ไหนๆก็มาแล้ว ก็ซื้อติดไม้ติดมือไป ผมไม่กล้าซื้อเยอะกว่านี้ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นคนอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า ซื้อเยอะก็เสียดายเงิน ไม่ซื้อก็เสียดายที่อุตส่าห์มาถึงแล้ว สรุป ไปถึง 3 ทุ่ม กลับออกมาจากงาน ตี 2 งงตัวเองเหมือนกันอยู่ได้อย่างไร นานขนาดนั้น แต่คนก็มีเดินงานเรื่อยๆ แต่ดึกขนาดนั้น ก็ไม่เดินเบียดเดินชนแล้วครับ เดินได้สบายๆ จะเดินจะหยุด จะลุกจะนั่ง สบายๆ (เดินขาแข็งครับ บอกเลย)
วันเวลาผ่านไป ผมก็อ่านหนังสือ ที่กองรออ่านจนกระทั่งถึงคิวหนังสือภาษาอังกฤษแล้ว ก็เลยเปิดมาอ่าน เรื่องแรก คือเรื่อง Big Data เค้าก็เล่าในมุมของภาพรวม ตัวอย่างเคสต่างๆ แล้วอ่านไปจนจบ ผมก็คิดได้ว่า เราก็อ่านได้นี่นา ไม่ได้แย่อะไร แล้วก็อ่านเล่มที่สอง ชื่อ Executive Edge จนจบ ก็ทำให้เห็นมุมว่าการจะเป็น ‘Leader’ หรือ ‘Executive’ level นั้น ต้องมีหลักคิด และแนวทางปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง และ ตอนนี้ ก็กำลังอ่าน Market Place 3.0 จาก CEO ของ Rakuten ที่ยืมหัวหน้าเก่ามาเป็นปีแล้ว แต่ไม่เคยอ่านเลย เพราะไม่กล้าอ่าน! ตอนนี้อ่านไปได้ครึ่งเล่มแล้ว เนื้อหาไม่หนักหน่วง เป็นแนว เล่าสบายๆ สอดแทรกแนวคิด ที่ท่านประธานเค้าคิดเอาไว้ตั้งแต่เริ่ม และแนวทางการทำ Marketplace ภาพกว้างซะมากกว่า
ถึงตอนนี้ ความคิดผมเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ผมเรียนรู้แล้วว่า หนังสือต่างประเทศมันดี และเปิดโลกกว้างมากจริงๆ อย่างเรื่องของ Big Data ที่หนังสือเขียนมาเมื่อตอน 2013 แต่ว่าเนื้อหานั้น ไม่ถือว่าเก่า กลับกัน มันยังใหม่มากสำหรับประเทศไทยเสียด้วยซ้ำ แล้วการที่เราศึกษาเรียนรู้อะไรสักเรื่องหนึ่ง แล้วเราศึกษาแต่ภาษาไทย เราก็จะได้รับรู้ความเป็นไป มุมมอง เหตุการณ์ ที่มันเกิดในไทยเท่านั้น โดยเฉพาะ มุมมองของคนเขียน ที่สัมผัสแต่คนไทยด้วยกันเอง อาจจะมีบ้างที่เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ แต่ว่า หนังสือในงาน Big Bad Wolf มันทำให้คุณได้เรียนรู้โลกของเราอย่างแท้จริงครับ
ผมกลับเสียดายขึ้นมาแล้ว ที่ไม่ได้ซื้อหนังสือที่น่าอ่านมาเยอะกว่านี้ อีกทั้งต้องรองานอีกทีปีหน้าเลย เพราะเข้าใจว่างานเค้ามาปีละครั้งเท่านั้น แต่อย่างน้อย ก็เป็นการจุดประกาย ทำให้ผมกล้าอ่านหนังสือภาษาอังกฤษอีกครั้ง เพราะมันไม่ได้แย่อย่างที่คิดเอาไว้ แม้ว่าหนังสือจะขายแพง แต่ประโยชน์ที่เราได้รับ มันตอบแทนเรา มากกว่าเงินที่เราจ่ายเป็นค่าหนังสือแน่นอน (จริงๆ)
แน่นอนว่างาน Big Bad Wolf ปีหน้า ผมไม่พลาดแน่นอน และถ้าจัดที่ Impact ก็จะไม่ลืม ติดเสื้อกันหนาวไปด้วย เพราะมันหนาวมากๆ และแน่นอน ไปตอนดึกครับ เพราะว่า คนโล่งมาก ไม่ต้องแย่ง ไม่ต้องกลัวคนบังหนังสือที่เราต้องการ อีกทั้ง ที่จอดเหมาทั้งคืนครับ 40 บาท ถ้าจำไม่ผิด (งานตั้งแต่สิงหาครับ)