เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน
แนวทางชีวิตเส้นทางใหม่ ที่ใช้ต่อยอดจากแนวทางเดิม หลายอย่าง ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่เรื่องนี้เผยให้เห็นอีกหลายเรื่องที่ดีๆออกมาอีกมากครับ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมทำงานอยู่ในสายการพัฒนา eCommerce มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นบริษัท Start up อย่าง Lazada (ช่วงปีแรกที่ก่อตั้งเลย), Cdiscount ที่ตอนนี้คือ Cmart (รุ่นตั้งแต่ project นี้ยังมีแค่ในกระดาษกับอีเมล) จนไปถึงบริษัทใหญ่ยอดขายปีละแสนล้านอย่าง Central Group ก็อยู่ eCommerce มาโดยตลอด จนกระทั่งวันนึงที่แนวทางของบริษัท รวมทั้งโครงสร้างก็เปลี่ยนไป และทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
จริงๆเรื่องความเปลี่ยนแปลงกับคนทำงานสาย IT มันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Central ที่ผมทำอยู่นั้น มีความเปลี่ยนแปลงเยอะมากๆ มากขนาดที่เรียกว่า 1 ปีที่ทำงาน มี org chart 10 version ที่ผมกับหัวหน้าทำร่วมกันและเปลี่ยนกันไปมาตลอด หรือการเปลี่ยนที่นั่งในช่วงเวลาปีกว่า ย้ายไปมา 5 ที่นั่งแล้ว จากที่ไม่มีลูกน้องสักคน จนมีประมาณ 40 คน แล้วตอนนี้ ก็กลับมาไม่มีเหมือนเดิม ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดจากที่เราอยากเปลี่ยนเอง แต่เกิดมาจากนโยบาย และแนวทางการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา จึงต้องปรับกันตามความเหมาะสม แต่ทั้งหมด ก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่ก็เสียดายเวลา และสิ่งที่ได้ทำมาบ้าง
จุดเริ่มต้นมันคือความล้มเหลว
ในช่วงที่เกิดความเปลี่ยนแปลงนั้น หลายคน ก็ค่อยๆปรับตัวตามไป แต่ผมกลับมองว่า ช่วงเวลาที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี่แหล่ะ เป็นโอกาสที่เราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ผมถูก MD ทาบทามให้พัฒนา project หนึ่งขึ้นมา โดยตอนนั้นยังเป็นแค่แนวคิดที่เราคุยกันในกระดาษ ยังไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร แล้วผมก็กลับมาทำแผน หาข้อมูลเพิ่มเติมประกอบ เพื่อเตรียมนำไปเสนอ โดยระหว่างนั้นงานหลักในการพัฒนา eCommerce ก็ยังคงดำเนินต่อไป
แล้วเมื่อวันที่ผมต้องนำเสนอปรากฏเกิดสิ่งที่ไม่ได้คิดขึ้น ก็คือ MD ให้ผมนำเสนอต่อ CTO และ MD พร้อมกัน ดีตรงที่ผมได้เตรียม slide มาอย่างดี ด้วยความตั้งใจ และประณีต (แต่ไม่ได้คิดว่าจะนำเสนอ CTO) แต่ผลที่ออกมาในวันนั้นกลับทำผมมึนงงมาก เพราะเดิมทีตั้งใจจะเปลี่ยนตัวเองไปอยู่สายงาน Innovation แล้วมาดูแล project นี้ แต่ CTO ไม่ได้มองเช่นนั้น เค้ามองว่า งานนี้ควรเป็นงานในความดูแลของ Big Data Team แล้ว งาน innovation ก็ไม่ใช่อะไรแบบนี้ แต่ต้องเป็นลักษณะใช้ความรู้รอบ+เครือข่าย partner ในการจับมือร่วมกันพัฒนา product ใหม่ขึ้นมามากกว่า
จบวันแบบเฟล เพราะไปไม่ถึงเป้าหมายอย่างที่ตั้งใจ แต่ว่าเนื้อหาที่ได้พูดคุยกับ CTO ในวันนั้นผมนำกลับเอามาคิด ทำให้คิดได้เรื่องหนึ่งว่า หรือว่าเราจะเดินสาย Big Data ดี…..
เรื่องนี้ทำให้ผมกลับมาคิดอยู่หลายวันเพราะว่า สายงานที่เดินมาตลอดเป็น eCommerce เรียกได้ว่า ผมสามารถอธิบายได้หมด ว่าการทำ eCommerce คุณจะต้องเจอประสบการณ์เรื่องอะไรบ้าง อะไรที่คุณต้องเตรียมพร้อมบ้าง ค่าใช้จ่าย งบประมาณ การลงทุน กำลังคน ระยะเวลา ผมทำ assessment เพื่ออธิบาย รวมทั้ง execute ได้ทั้งหมด ตั้งแต่ technical ยาวไปจนถึง business และ อาจจะรวมถึงภาคการบริหารด้วย แต่…. ทั้งหมดก็ทำให้คิดขึ้นมาว่า ในเมื่อเราก็รู้ (เกือบ) จะหมดทุกอย่างแล้วในด้าน eCommerce แล้วถ้าเราหันหัวไปทำงานด้าน Big Data ล่ะเป็นอย่างไร
Big Data เป็นศูนย์ ผมยอมรับตรงๆเลย ว่ายังไม่เคยเข้าไปเปิดโลกของ Big Data จริงๆเลยสักครั้ง เคยได้ยินมาบ้าง ว่าเรากำลังจะเปลี่ยนไปเป็นโลกของ information ต่อไป information กำลังจะเข้ามามีบทบาทที่สำคัญมากๆ คุณอาจจะเคยได้ยินเรื่อง deep learning, machine learning, watson, AI, การเล่นหมากรุกระหว่างคนกับคอม หรือแม้กระทั่ง เล่นโกะ เหล่านั้น มันล้วนต้องใช้ data จำนวนมหาศาลเป็นเบื้องหลังความสำเร็จทั้งนั้น ดังนั้น การที่ผมจะเข้าไป challenge ในโลกของ Big Data นั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้อะไรเลย
กำลังจะเปลี่ยนสายงานหรือเปล่า นี่เป็นคำถามหนึ่งที่ผมถามตัวเองเพราะว่าการเปลี่ยนสายงานช่วงที่อายุเยอะแล้ว เป็นเรื่องที่เป็นความเสี่ยงมาก เพราะคุณจะเป็นคนที่ขาดความต่อเนื่องในสายงานที่คุณกำลังทำอยู่ แล้วความ specialist ของคุณก็จะเริ่มหายไป เพราะต้องใช้เวลากับสายงานใหม่ที่ต้องเริ่มศึกษา แต่เมื่อผมพิจารณาให้ดีๆแล้ว กลับพบว่า Big Data ที่ผมกำลังจะได้เจอนั้น มันคือ Big Data ของสายงานการขายสินค้า เพราะว่า Central เป็นกลุ่มค้าปลีก ดังนั้น ผมจะได้ทำงานกับทั้งการขาย Online , Offline ในเวลาเดียวกัน นั่นจะทำให้ผมได้เปิดกว้างในโลกการทำงานมากขึ้นไปอีก ดังนั้น สิ่งที่ผมกำลังจะทำ ไม่ใช่การเปลี่ยนสายงาน มันคือการต่อยอดไปอีกจุดที่สูงกว่า และท้ายที่สุด ผมก็จะใช้ความรู้ Big Data เอามาพัฒนาได้ทั้งการขาย offline, online นั่นเอง ดังนั้น ก็ไม่ได้เหมือนกับการเปลี่ยนสายงาน แค่ไปให้เวลาเชิงลึกกับในบางเรื่องของ eCommerce เท่านั้นเอง
ความคิด คือแรงดึงดูด เลยได้หมวกใบใหม่ด้วยความเหมาะเจาะ
ผมสรุปกับตัวเองได้ว่า ผมจะขอ challenge ด้วยการรับหน้าที่ในทีม Data ซึ่งปัจจุบัน(วันนั้น) ยังไม่มีคนทำงานเลยสักคนเดียว (หามานานแล้ว แต่ยังหาคนที่เหมาะไม่ได้) ประจวบเหมาะกับ MD ก็ทักผมมาว่า CTO เค้าฝากถามมาว่าถ้าให้ผมมาทำงานในทีม Data ผมจะ OK หรือเปล่า เนื่องจากเค้ามองเห็นแววจากวันที่ผมไปนำเสนอในวันนั้น ซึ่งผมก็อึ้งมาก เพราะสุดท้ายกลายเป็นความต้องการมาบรรจบกันได้อย่างไรก็ไม่รู้ และแน่นอน ผมก็รับปากไปในทันที
จากนั้น ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากเดิมที่ผมเป็นคนทำงาน ก็กลายเป็นคนที่ศึกษา อ่าน ลองทำ อ่านลองทำ ศึกษาไปเรื่อยๆ เพราะว่ามันมีอะไรที่ต้องเรียนรู้เยอะมาก ตอนนี้ผมก็ยังค้นหาคำตอบให้ตัวเองอยู่ในทุกวันว่า ผมจะไปให้ถึงจุดไหน data sciencetist? หรือว่า Big Data project implementor? หรือ BI? แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามผมก็ยังใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดในการศึกษาสิ่งใหม่ ลองทำ และแก้โจทย์จากชีวิตจริงไปเรื่อยๆ เท่าที่จะเป็นไปได้
ดังนั้น หนทาง Big Data สายนี้ยังอีกไกลนัก นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีอะไรที่ต้องลองทำอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็น ปัดฝุ่นคณิตศาสตร์ เช่นพวก linear algebra ซึ่งจำได้ว่าตอนเรียนเมื่อสมัย ป.ตรี ผ่านมาแบบไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไรเลย งง หนักมาก อีกทั้ง สถิติ ความน่าจะเป็น นี่ก็ไม่น้อยหน้า เละเหมือนกัน แต่ผมโชคดีตรงที่ผมเป็น programmer มาก่อน (เอาจริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังเขียนโค้ดอยู่นะ PHP, Node.js หลักๆ) ดังนั้น การเรียน python สัก course หนึ่งเพื่อให้เข้าใจ Nature ของมันจึงไม่ใช่เรื่องยาก (ตอนนี้เข้าใจละ) และก็มีความเข้าใจในมุมมองของ Business จากการที่ได้ผ่านงานการพัฒนา eCommerce มานี่แหล่ะ ที่เป็นพื้นฐานในการเดินเส้นทาง Big Data นี้ ดังนั้นก็ถือว่าไม่ได้เริ่มต้นแย่เท่าไรนะ แต่ยอมรับเลย ว่ามันออกแนววิทยาศาสตร์ไปซะเยอะเลย