ผมจะมาแนะนำเรื่องของการเริ่มต้นทำ eCommerce สำหรับบริษัทที่ขายสินค้า และมีหน้าร้านอยู่แล้ว เอาแบบว่าอ่านจบแล้วนึกออกเลยว่าต้องเริ่มยังไง
วิธีการเริ่มต้นการทำ eCommerce คุณต้องสลัดวิธีคิดแบบที่เคยขายหน้าร้านออกให้หมด เพราะว่า eCommerce จะมีกระบวนการคิดและจุดเริ่มต้นที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากการขายหน้าร้าน
เริ่มขายได้เลยทันที
ตอนนี้มีเครื่องมือมากมายให้เราขายสินค้าได้ทันทีไม่ว่าจะเป็น Facebook Instagram Twitter YouTube เว็บบอร์ดต่างๆ ดังนั้นคุณแค่เขียนเนื้อหาที่เกี่ยวกับสินค้า ก็สามารถเริ่มต้นขายได้ทันที
เนื้อหาต้องน่าสนใจ
เนื้อหาของการขายสินค้าต้อง ดึงดูด น่าสนใจ อย่าบอกแค่ว่ามันดี มันเทพ มันเจ๋งยังไง เพราะยังไงสินค้าที่คุณอยากขาย คุณก็พูดให้มันดี มันเทพได้ทั้งนั้น ซึ่งจุดนี้ลูกค้าไม่ได้อยากฟัง สิ่งที่ลูกค้าอยากฟังจริงๆ คือเมื่อเขาใช้สินค้าของคุณแล้วมันดีกับชีวิตเขายังไง มันช่วยประหยัดเงินให้เขาได้ยังไง หรือมันลดเวลาให้กับเขาได้ยังไง หรือเรียกง่ายๆว่าพยายามมองในมุมของคนใช้งานสินค้าของคุณ อย่าคิดแต่พยายามทำยังไงจะขายสินค้าให้ได้ ที่สำคัญเลยคืออย่าพยายามยัดเยียดขายสินค้า เพราะเขาจะไม่ดู ไม่ฟัง ไม่อ่าน ไม่สนใจ
ช่องทางการติดต่อเป็นเรื่องสำคัญ
เนื่องจากเขาเห็นและรู้จักคุณแค่ตัวหนังสือ และคนไทยมีนิสัยอย่างหนึ่ง ชอบคุยก่อนชอบแชทก่อนถึงจะตัดสินใจซื้อได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นสินค้าที่มีความลักษณะเฉพาะตัว หรือเป็นสินค้าที่หาซื้อไม่ได้โดยทั่วไป เขามักจะต้องการการพูดคุยเยอะเป็นพิเศษ ฉะนั้นช่องทางการติดต่อถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่คุณจะต้องให้ความสำคัญและตอบให้เร็ว ให้กระชับ เพื่อให้เขาเข้าใจ ได้รับสาร และตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็ว
เปิดเว็บเป็นของตัวเอง หากจะเน้นระยะยาว
จริงอยู่ว่าทุกวันนี้มีโซเชียลให้ใช้งานมากมาย แต่อย่างไรถ้าคุณจะขายแบบยาวๆ แนะนำให้คุณมีเว็บเป็นของตัวเอง แต่ถ้าตอนเริ่มต้น คุณโพสต์ขายผ่านทาง Social ก่อนก็ได้เพื่อเป็นการทดสอบตลาดสินค้าที่คุณกำลังจะขาย มีคนสนใจอยากซื้อใช้แค่ไหน และคุณจะได้นึก Content เนื้อหาที่จะเขียนออกเพราะว่า Social มันเป็นการสื่อสารแบบ ไปและกลับ ตอบโต้กันได้ ซึ่งต่างจากเว็บไซต์ที่เป็นการสื่อสารทางเดียว(ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากถามผ่านเว็บ เพราะมันไม่ใช่คน) ทำให้คนที่ทำเว็บไซต์จะต้องใช้พลังงานในความคิดที่มากกว่าในการสื่อสารทางเดียว เพราะถ้ามันผิดพลาด ไม่ว่าจะรูปผิด รายละเอียดผิด ราคาผิด เขาไม่ซื้อและเขาไม่บอกเราด้วยว่าทำไมเขาถึงไม่ซื้อ หรือถ้าเขามีข้อสงสัยเขาก็ไม่ถามเราเหมือนกัน
คิดเรื่องค่าขนส่งให้ดี
จากประสบการณ์ของผม ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ในการขายผ่านทาง eCommerce เพราะถ้าคุณมีหน้าร้านปกติ ลูกค้าจ่ายเงิน และเสียเวลามาซื้อสินค้าคุณ แต่ eCommerce คุณต้องจ่ายเป็นเวลาและคนในการแพ็คสินค้า และจ่ายเป็นค่าขนส่งในช่องทางต่างๆ ซึ่งบริษัทที่รับขนส่งตอนนี้มีเยอะแยะจำนวนมากมายเช่น KERRY DHL SCG LalaMove Delivery LINE Man ฯลฯ คุณลองเปรียบเทียบราคา ความรวดเร็ว และลักษณะเฉพาะตัวของการส่งสินค้าของแต่ละรายดูก่อน เช่น ถ้าคุณเป็นอาหารสดต้องส่งด้วยความรวดเร็วคุณก็ต้องดู service ที่เขามีบริการ ตู้เย็น หรือส่งภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่แน่นอนราคาแพง ฉะนั้น ต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้ดีไม่อย่างนั้นอาจจะขาดทุนมากได้
แต่เรื่องนี้ผมอยากให้คุณมองเกมยาวๆ เพราะว่าจริงอยู่ที่ตอนนี้คุณอาจจะคิดยังไงก็ขาดทุน สู้นอนเฉยๆให้คนมาเดินซื้อจะดีกว่า แต่อย่าลืม ว่าถ้ามันเป็นเกมเล่นกันยาวๆ แล้วลูกค้ามาซื้อของคุณมากขึ้นในอนาคต คุณอาจจะยอมขาดทุนในตอนนี้ก่อน เพื่อที่จะได้รับการสั่งซื้อสินค้าที่ใหญ่ขึ้น หรือมากขึ้น ก็จะทำให้คุณคุ้มทุนค่าขนส่งได้ในระยะยาว ฉะนั้นเรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับธุรกิจที่คุณทำด้วยครับ (และสายป่านด้วย)
ประกันความพึงพอใจ
สินค้าที่ลูกค้าซื้อผ่านทาง eCommerce เขาไม่ได้เห็นหรือจับสินค้าจริงก่อนที่เขาตัดสินใจจะซื้อ และถ้าเขาซื้อสินค้าไปแล้วเกิดปัญหา คุณก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ถ้าไม่รับผิดชอบ คุณก็จะเสียชื่อเสียง ซึ่งไม่ดีแน่นอนในระยะยาว ดังนั้นเรื่องการรับประกันความพึงพอใจหรือรับประกันตัวสินค้า คุณอาจจะต้องพิจารณาให้ดี ว่าจะมีนโยบายเรื่องนี้อย่างไร รับคืนภายในกี่วัน แต่ต้องระวังอย่าให้รัดกุมเพื่อปกป้องตัวเองมากจนเกินไป ถ้ามากไปลูกค้าก็จะไม่กล้าซื้อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่คิดเลยจะทำให้เกิดความเสี่ยงทางธุรกิจของคุณเอง แต่ผมแนะนำว่า ช่วงแรกลองดูก่อนครับว่าส่งแล้วของจะเสียหายแค่ไหน มีปัญหาเกิดขึ้นยังไง แล้วเดี๋ยวค่อยปรับกัน
บริการหลังการขายก็ต้องมา
ไม่มีลูกค้าคนไหนอยากซื้อสินค้าแล้วติดต่อพ่อค้าแม่ค้าไม่ได้อีกเลย ถ้าคุณมีบริการหลังการขายที่ดีอยู่แล้วให้เอาเรื่องนี้มาใช้งานเป็นจุดเด่น โดยอาจจะเอาเคสตัวอย่างการรับประกันการบริการหลังการขายจริงของคุณ มาเล่าให้ลูกค้าคนอื่นฟัง เขาก็จะมั่นใจได้ว่าซื้อสินค้าจากคุณแล้วไม่ถูกทอดทิ้ง ยังมีบริการให้อยู่ สิ่งคนไทยก็ใช้เป็นจุดในการตัดสินใจอีกจุดหนึ่งเหมือนกัน
ทั้งหมดนี้คือภาพโดยรวมที่เป็นประเด็นที่คุณจะต้องพิจารณาก่อนการจะเริ่มขายผ่านทาง eCommerce ดังนั้นลองพิจารณาแล้วเริ่มลงมือเขียนแผนแล้วทำจริงเลยครับ ยุคนี้ ปลาเร็ว กินปลาช้านะครับ