ทำงานที่ใดให้ได้เป็น Key Man
เป็นคำที่ผมคิดว่ามันทรงพลัง และ มันตอบแทนให้ผม ได้มากกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก อยากให้ทุกคนอ่าน และทำตาม มันดีกับตัวคุณแน่นอน
จริงๆ คำนี้เป็นคำที่ผมนิยามขึ้นมาเองในช่วงปีหลังๆของการทำงาน หลังจากที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วหลายบริษัท แล้วเมื่อมองย้อนกลับไปก็พบว่า เพราะผมทำตัวแบบนี้ เลยทำให้ได้มาอยู่ที่จุดนี้
อ้อ บางคนอาจจะไม่รู้ ด้วยอายุปัจจุบันคือ 31 ปี ครับ และถ้าย้อนประวัติไป ผมเป็น General Manager, Business IT ของบริษัท Cenergy Innovation Co., LTD (บริษัทในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป) ตั้งแต่อายุ 29 ปี และถ้าย้อนไปอีก ก็คือ ผมขึ้นเป็น Project Manager ตั้งแต่ปีที่ 2 ของชีวิตการทำงานครับ ดังนั้น ผมคิดว่าถ้าได้เล่าเรื่องตัวเอง เพื่อให้น้องๆได้ฟัง ก็น่าจะเอาไปใช้เป็นแนวทางกันได้ครับ
ทำงานที่ใด ให้ได้เป็น Key Man
อย่างที่บอก ว่าคำนี้ผม นิยามมันขึ้นมาตอนที่ทำงานเป็น GM เพราะว่าเมื่อผมมองย้อนประวัติการทำงานกลับไป พบว่า ผมเป็นคนที่ทำหน้าที่ในส่วนที่สำคัญๆของงานแทบทุกบริษัท อย่างตอนที่ทำ Lazada ก็ทำในส่วน Payment gateway ที่แผนกำลังเปลี่ยนจากของเยอรมัน (Adyen) กลับมาใช้ของ 2C2P เป็นครั้งแรก สาเหตุก็เพราะกฏหมายป้องกันการฟอกเงิน หรือว่าตอนที่เป็นหัวหอกในการขึ้นระบบ cdiscount (Cmart.co.th ในตอนนี้) ที่ต้องทำระบบเว็บทั้งหมดที่สามารถเชื่อมกับระบบหลังบ้านเดิมทั้งส่วนของ financial , warehouse, logisticsของ BigC เพื่อให้ออกมาเป็น automatic ในเวลาสามเดือน(เริ่มต้นจาก 0 คือไม่มีอะไรเลย เป็นแค่การพูดคุยกันในห้องประชุม) เรียกได้ว่า เรื่อง payment gateway ที่ว่ายิ่งใหญ่ จิ๊บๆไปเลย แล้วไหนจะเป็น Marketplace system ของ central group อีก ก็จะมีผมที่เป็นหัวหอกสำคัญในการ ดูแลการพัฒนาทั้งหมด ตั้งแต่เป็นสิ่งที่นั่งคุยกับนายสองคนในห้องจนขึ้นระบบมาได้และสองเว็บในเครือ central ใช้อยู่จริง
ถ้าถามว่าเหนื่อยมั้ย เหนื่อยสิครับ ทำงานในตำแหน่งที่เป็น Key Man จะไม่เหนื่อยได้อย่างไร แต่ว่ามองย้อนกลับไปแล้วภูมิใจครับ ที่รอยแผลต่างๆมันสอนให้เราโตขึ้น และอย่างที่บอก ทำตัวเองให้เป็น Key Man ครับ ทุกคนต้องพึ่งคุณ คุณต้องทำงานให้หนัก แน่นอนว่า คุณจะเหนื่อย แต่คุณก็จะเป็นคนสำคัญของบริษัทด้วยเช่นกัน
ทำอย่างไรให้ได้เป็น Key Man
ไม่ยากครับ ขั้นแรก ทำงานแบบฉลาด และทำให้หนักกว่าที่คนอื่นทำ และที่สำคัญ อย่าเลอะเลือน นี่คือ key ที่สำคัญมากครับ หลายคนที่เวลาประชุมร่วมกับผม แล้วเวลาผ่านไปสักพัก กลับมาถามว่า เรื่องนี้เราสรุปกันว่ายังไงนะ ผมจะเล่าเป็นฉากๆ ว่าปัญหามันคืออะไร ใครพูดถึงว่าอะไร แล้วใครตอบกลับว่าอะไร จบที่ใครสรุปว่าอะไร ออกมาเป็นแบบไหน ทุกคนจะอึ้ง ว่าผมจำทั้งหมดนี้ได้อย่างไร จริงๆ เมื่อก่อนก็ทำไม่ได้ครับ แต่ถ้าเรามี ‘สติ’ และ ‘ตั้งใจ’ ในการประชุม มันจะได้ภาพอย่างที่ผมเล่าออกมาครับ ส่วนเรื่องความฉลาด อันนี้ เพิ่มความฉลาดได้ด้วยการอ่านครับ หาหนังสือที่เกี่ยวกับงานที่เราทำมาอ่านเยอะๆ (แต่ผมใช้การที่มีประสบการณ์เยอะ ซึ่งมันใช้เวลาครับ) ทำงานให้หนักกว่าคนอื่น ตรงนี้คุณจะได้ประสบการณ์มากกว่าคนอื่น (อย่างที่บอก ผมใช้ประสบการณ์ที่มากกว่าคนอื่นเข้าสู้) และอีกสิ่งที่ตามมาก็คือ คุณจะได้มองเห็นรายละเอียดในเนื้องานมากขึ้น และมากกว่าคนอื่น อาจจะมากที่สุดเท่าที่ทุกคนจะมีก็เป็นได้ครับ
บ่อยครั้งที่มันจะมีงานประเภทสีเทาๆ คือ ไม่ขาว ไม่ดำ มันเป็นลักษณะว่า งานนี้ ต้องเป็นของเราหรือเปล่า … อืม ก็เป็นไปได้ หรือว่ามันจะเป็นงานของทีม X หรือเปล่า … อืม ก็ได้เหมือนกัน ถ้าเจองานแบบนี้ ไม่ต้องคิดมากครับ เอามาทำเลยครับ เรารู้อยู่แล้ว ว่าทำอย่างไรให้มันออกมาได้ดี ซึ่งผลงานมันก็จะเป็นตัวพูดแทนเราครับ ว่าเราเป็นคนทำงานเก่ง และ ดี แต่ถ้าเราเอางานนี้มาทำ แล้วทีม X ก็เอาไปทำแล้วออกมาดีกว่าเรา ให้คิดว่า ดีจัง มีคนช่วยเราทำงาน แล้วถ้าออกมาได้ดีกว่าเราอีก เราก็เรียนรู้งานเค้าครับ นี่แหล่ะครับอีกหนึ่งอย่างที่ผมทำบ่อยมาก ดังนั้น เราทำก็ดี เค้าทำก็ดีทั้งนั้น
มีเป้าหมายในงานที่ทำ
แรกๆทุกคนมีเป้าหมายกันทุกคนครับ แต่ว่าทำไปทำมา โดนคลื่นซัด โดนลมพัดก็ชักจะโอนเอน เป้าหมายที่เคยมีอย่างแข็งแรงก็เริ่มค่อยๆหายไป ลืมไปบ้าง แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่เหมือนที่คิดไว้ตอนแรก ตรงนี้ต้องระวัง เพราะมันจะเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันรู้ตัวเลย
เราต้องจำเป้าหมายเราให้ได้ว่าเราเข้ามาบริษัทนี้เพื่ออะไร เพราะอะไร เราตั้งใจจะทำอะไร แล้วมุ่งมั่นทำมันให้สำเร็จโดยเร็วและดีที่สุด เพราะนั่นคือสิ่งที่คนจ้างเราเค้าอยากได้
เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา
บางครั้งทำงานกันก็มีการไม่ลงรอยกันบ้าง เห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่หากเราเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา เราจะเข้าใจว่ามันเกิดจากอะไร ทำไมเค้าถึงคิดแบบนั้นแล้วเราก็จะเริ่มมองหาทางออกที่เป็นแบบ win win situation เพื่อให้ทุกคนพึงพอใจ
มุ่งทำเพื่อบริษัทเหมือนบริษัทเป็นของเรา
ทุกที่ผมคิดแบบนี้เสมอ ตั้งแต่บริษัทแรกจนถึงปัจจุบันเลย ผมคิดว่าถ้าเราเป็นเจ้าของบริษัทเราจะทำและไม่ทำอะไรเพื่อให้บริษัทเจริญก้าวหน้า แล้วสิ่งนั้นมันจะปรากฏออกมาในทุกการกระทำคำพูดของเราและทุกคนจะสัมผัสมันได้ เค้าก็จะรู้ว่าเราทำเพื่อบริษัทจริงๆ
อย่าสำคัญตัวเองเกินไป
อันนี้หลายคนติดกับดักครับ พอเวลาที่ได้เป็น key man ที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วหลายคนจะเริ่มติดกับดักว่า จะทำอะไรก็ได้ ไม่ผิด อยากทำอะไรก็ได้ ยังไงก็มีคน support ไม่กล้าไล่ออกแน่ แบบนี้ต้องระวังให้ดีครับ เพราะนั่นคือติดกับดักแล้วเต็มๆ คือสำคัญตัวเองมากเกินไป จนคิดว่าไม่กล้ามีใครเอาออกแน่ ท้ายที่สุด พวกนี้จะลงเอยด้วยการทำอะไรที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าความรับผิดชอบ แล้วก่อให้เกิดความเสียหายจนแพ้ภัยตัวเอง ซึ่งไม่ถูกไล่ออก ก็ต้องลาออกไปเอง และเชื่อผมนะครับ บริษัทเค้าอยู่ได้ครับ แม้ว่าขาด key man ก็ตาม
จริงๆทุกบริษัทที่ผมลาออก ผมจะเป็นห่วงเป็นใยทุกบริษัทเสมอ เพราะว่าอยากลาจากกันด้วยดี ไม่อยากให้มีปัญหาอะไร จึงพยายามแจ้งล่วงหน้านานๆ ที่ผมเคยแจ้งล่วงหน้ามา เท่าที่จำได้ มี 2 ปี, 6 เดือน , 4 เดือน ประมาณนี้ครับ แม้ว่าผมจะรู้ในใจลึกๆ ว่าถ้าผมหายไปเลย เค้าก็อยู่ได้ แต่เราก็ต้องให้เกียรติ ซึ่งกันและกันครับ
ให้ความเคารพทุกคน
ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นอย่างไร จะว่าเรา ไม่เคารพเรา ทำงานแย่ๆ ไม่เก่ง หรืออะไรก็ตามที่ขัดใจเรา จงจำเอาไว้ว่า ‘สังคมนี้มันเล็กมาก’ ไม่รู้ว่ามีประสบการณ์กันบ้างหรือเปล่าที่ไปไหนมาไหน ก็ไปเจอคนรู้จักที่ไม่ได้คิดว่าจะเจอ หรือว่าไปเดินงานที่เกี่ยวข้องกับสายงานที่เราทำแล้วเจอคนรู้จักเต็มไปหมด แล้วรู้หรือเปล่า ว่าคนที่ตำแหน่งสูง ก่อนที่จะรับเข้าไปทำงาน เค้ามีการเช็ค background กันละเอียดมาก ผ่านเครือข่ายของ HR หรือ ผู้บริหารระดับสูงๆ ดังนั้น ใครทึ่ทำอะไรไม่ดีเอาไว้ ยังไงก็ต้องมีคนเห็น แล้วเวลาโทรเช็คปุ้บ จบเลยครับ
ถ้าจะจากกัน ให้จากกันด้วยดี
ต่อเนื่องจากข้างบนนั่นแหล่ะ คือ ให้ความเคารพคนรอบข้างเอาไว้ แล้วเวลาจะจากกัน ก็อย่าไปสาดเสียเทเสีย ไม่ใช่ว่าไหนๆก็จะไปจากที่นี่แล้ว จัดให้หนักเลย (ผมเคยเจอ คือวันสุดท้ายของการทำงาน เขียนอีเมลด่าคนในบริษัท บางคนแบบไม่ไว้หน้า แล้วส่งเมลเข้า group mail บริษัทเลย) แบบนี้ สิ่งที่เราทิ้งเอาไว้ ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากของเสียที่เราทิ้งเอาไว้ แล้วเวลาที่เค้ามีการเช็คประวัติย้อนหลังกันมันจะออกมาเป็นอย่างไรครับ ก็คงเละ แบบไม่ต้องสงสัย
เป็น Key man แล้วได้อะไร?
เป็นคำถามที่ข้องใจหลายคนแน่นอน เพราะการจะเป็น key man นั้นมันไม่ง่ายเลย แล้ว การเป็น key man มันจะได้อะไรเหรอ?
หัวหน้าไว้ใจ ไปไหนพาไปด้วย
ด้วยความที่เราเป็นคนทำงาน ดังนั้น เมื่อวันที่ลาออก หรือวันที่หัวหน้าเราเค้าเติบโตขึ้น ไม่ว่าจะที่เดิม หรือ ที่ใหม่ เค้าก็อยากให้เราไปทำกับเค้าครับ เพราะเค้าเชื่อมือเรา ในประวัติการทำงานที่ผ่านมาของผม หลายครั้งที่หัวหน้าเก่า มาชวนผมไปทำงานในที่ใหม่ที่ทำให้เราได้เติบโตขึ้น ซึ่งบางครั้งผมก็รับบ้าง ปฏิเสธบ้าง แล้วแต่โอกาสของชีวิตครับ
ความก้าวหน้าในสายงาน และอาชีพ
มีทั้งแบบมาตรงๆ และ อ้อมๆครับ แบบตรงๆ ก็คือ ได้รับการ promote เลื่อนขั้น ได้โบนัสที่เยอะกว่าคนอื่น ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานใหญ่ขึ้น ได้คุมคนมากขึ้น หรือว่า มาแบบอ้อม ก็มีเยอะเลยครับ เช่นว่า ตอนที่เราจะลาออกแล้วก็มา offer เงินเดือนกันแบบรัวๆ หรือว่า ที่เดิมไม่มีการปรับอะไรให้อย่างเหมาะสม แต่กลับมีบริษัทใหม่ที่ offer เงินเดือนตำแหน่ง ที่ดีกว่าเดิมมากๆ บางครั้ง vendor ที่ทำงานร่วมกับเราเห็นฝีมือเรา มาทาบทามก็เคยเจอ หรือแม้กระทั่งโอกาสที่ไม่เคยคิดว่าจะได้รับ เพราะว่าเราเป็นคนที่เหมาะสมก็มีครับ
โตขึ้นทันตามวัยวุฒิ
ผมมักจะสงสัยบ่อยๆครับ เวลาที่ผมได้ทำงานร่วมกับคนที่อายุเยอะๆที่เค้าตำแหน่งต่ำกว่าเรา (แต่ผมให้ความเคารพนะครับ ไม่เคยดูถูกครับ) ผมมักจะเก็บข้อสงสัยที่ว่า “ทำไมเค้ายังอยู่ที่ตรงนี้” แต่หลายๆคนที่ผมเคยทำงานด้วย หรือว่า เลียบเคียงถาม หรือว่าใช้การศึกษาแนวทางการทำงาน การพูด ความคิด ก็มักจะทำให้ได้คำตอบครับ (สั้นๆคือ มันเป็นเพราะ ความคิด การกระทำ คำพูดครับ ที่ทำให้เค้าไม่ก้าวหน้า) ดังนั้น การที่เราได้เป็น key man นั่นคือเราก็เป็นแถวหน้า ที่เราจะได้มีโอกาสไปต่อในการคัดเลือก เราจึงมีความก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุเราที่มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราจะเหมาะสมทั้ง อายุ และ ความสามารถครับ
ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า คนไทยให้ความเคารพคนที่ความอาวุโส (อายุ) ด้วย ไม่ว่าจะเก่งหรือไม่ก็ตาม นั่นเพราะสังคมเราหล่อหลอมมาแบบนั้นครับ ดังนั้น ไม่ใช่ว่าจะเอาเด็ก อายุ 23 มาเป็น Director คุมคนเป็นร้อย ถ้าไม่ใช่คนที่พิเศษแบบสุดๆแล้วโอกาสที่เติบโตตามเส้นทางเพื่อให้ไปถึงตรงนั้นได้มีน้อยมากครับ (ย้ำอีกที ไม่ได้แปลว่าไม่มี มีจริงครับ แต่อัตราส่วนน้อยมาก)
ภูมิใจในตัวเอง
เรื่องนี้สำคัญมากๆครับ มันคือกำลังใจที่สำคัญที่จะเอาไว้หล่อเลี้ยงให้เรามีแรง มีพลัง ในการออกไปสู้ต่ออุปสรรคต่างๆที่ถาโถมเข้ามาครับ ถ้าเราไม่ภูมิใจในงานที่เราทำแล้ว เราก็จะเบื่อไม่อยากทำงาน ไม่อยากตื่นมาทำงาน พาลทำให้งานเสียได้ในท้ายที่สุด ดังนั้น เราต้องภูมิใจ ว่าเราได้ทำอะไรขึ้นมา แล้วมันยิ่งใหญ่ ส่งผลกระทบด้านดีมากแค่ไหน นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญครับ
นายจ้างรัก และ ไม่อยากให้ลาออก
ผมมักจะมีปัญหาเวลาที่ลาออกจากบริษัทเป็นประจำ นั่นก็เป็นเพราะว่าผมเป็น Key Man อยู่นั่นเอง ซึ่งเป็นคนที่มีหน้าที่หลัก และ มีความสำคัญกับการทำงานในหลายส่วนของบริษัท (หรือว่าบางส่วนแต่สำคัญมาก) แต่ว่า ส่วนใหญ่ที่ผมลาออก หรือ ย้ายงาน เป็นเพราะว่า หน้าที่ของผมจบแล้ว เหมือนว่า พายเรือออกจากฝั่ง ไปเจอมรสุม แดด ฝน จนไปถึงชายฝั่งที่ต้องการแล้ว หลังจากนั้นก็คือ การดูแลให้มันคงอยู่ต่อไป แล้วผมก็ย้าย แน่นอนว่าหลายบริษัท ก็ไม่อยากให้จากกันไป เพราะว่า จะขาดหัวหอกที่ร่วมทำกันมาตั้งแต่ต้น และรู้แทบทุกเรื่องที่จำเป็นกับงาน
รายได้ที่ดีขึ้น
แน่นอนครับ เมื่อตำแหน่งที่โตขึ้น ก็ไม่ได้โตขึ้นแต่ตำแหน่ง แต่ว่ารายได้ก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย ส่วนผมเอง ได้เงินเดือน Y บาท ตั้งแต่หลายปีก่อนแล้วครับ ซึ่ง Y บาท คือเลขเงินเดือนในฝันที่อยากได้ ตั้งแต่ตอนอยู่มัธยม ซึ่งเป็นเลขที่เมื่อก่อน คนส่วนใหญ่บอกว่ามันยากที่จะทำได้ แต่ว่าผมก็ทำได้ ก่อนอายุที่ผมตั้งเอาไว้ (ได้เลขนี้ก่อน อายุ 30) นี่ยังไม่นับ benefit อื่นๆ ที่ได้สูงขึ้นเป็นเงาตามตัวอีก เพราะว่าเมื่อตำแหน่งขึ้น benefit ต่างๆที่ล้อมรอบเงินเดือนก็จะสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วยเช่นกัน จริงอยู่ที่เราทำงานเราควรทำงานมากกว่าเงินเดือน แต่อย่างไรแล้ว เราก็ควรจะได้เงินเดือน ค่าตอบแทนให้สมกับที่เราทำงานหนักด้วยเช่นกัน มันจึงโตไปพร้อมๆกับเรา
โตแล้วโตอีก
มันเป็นเรื่องของ momentum ลองนึกถึงลูกตุ้ม ที่เราออกแรงเหวี่ยงมัน หลังจากนั้น มันจะเหวี่ยงไป เหวี่ยงมาอยู่อย่างนั้นอยู่พักใหญ่ๆ นั่นคือ มันมี momentum ในตัวเอง คือเมื่อเรามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น มันก็จะมีแรงผลักดันให้เราเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องออกแรงมากเหมือนอย่างช่วงแรกๆที่เริ่มต้นเลย ทำให้เราโตแล้วจะโตอีก โตขึ้นไปเรื่อยๆ
สรุป
ทำงาน อย่าเพียงแต่ทำแค่เพียงที่เค้าจ้างเรา แต่เราต้องทำงานให้ดี ทำให้เต็มที่เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานใหญ่ขึ้น เมื่อเราทำงานใหญ่ขึ้น เราจะโตขึ้น เราจะไปอยู่ในจุดที่ดีขึ้น รายได้ ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะดีขึ้นตามลำดับ และที่สำคัญที่สุด ทำงานแบบ เก่ง ฉลาด และทำงานหนัก คุณก็จะได้รับสิ่งที่ควรจะได้ในไม่ช้านาน ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง