พี่ที่ทำงานมาด้วยกันตลอด 1 ปี ถึงกับทักว่า “วันนี้ บีไม่ใช่ บี เมื่อปีที่แล้ว ที่พี่รู้จักอีกต่อไป บีโตขึ้นกว่าเดิมมากๆ” และผมเองก็รู้สึกได้เลย ว่า 2017 เป็นปีที่ผ่านอะไรมาเยอะมากเช่นกัน
2017 เป็นปีที่ก็ดูเผินๆตอนต้นปี เหมือนจะเป็นปีที่ธรรมดาๆอีกปีหนึ่ง แต่ว่าตลอดทั้งปีที่ผ่านมาพบว่า ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคิด เรื่องงาน เรื่องชีวิต และอื่นๆ
ขึ้นระบบ Marketplace ของ Central Group ได้สำเร็จ
เป็น Project ที่เริ่มออกแบบมาตั้งแต่ปลายปี 2015 แต่ทำจนสำเร็จได้ตอน Q1 ของปี 2017 ถือได้ว่าเป็น project ที่ทำนาน และใช้คนเยอะที่สุดในชีวิตที่ทำมา แต่ยอมรับว่า project นี้รายละเอียดเยอะจริงๆ ผมต้องดูแลตั้งแต่หน้าเว็บ ทั้ง desktop, mobile , ระบบ search ที่ใช้ elastic, ระบบ Product Information management ที่วางฐานรากใหม่ตั้งแต่ 0 โดยใช้ประสบการณ์ที่เคยมีมาทั้งหมด เพื่อเชื่อมและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ Legacy system อายุ 20 ปีของ central , ระบบการชำระเงิน ที่พร้อมจะต่อยอดไปทำ promotion แบบซับซ้อน รองรับคูปองไม่จำกัดในการสั่งซื้อแต่ละครั้ง (ซึ่งไม่มี eCommerce รายใดทำได้มาก่อน) , ระบบ infrastructure ที่ on cloud 100% โดยออกแบบร่วมกันกับ vendor ตั้งแต่วันแรก จนมันเสร็จสมบูรณ์ จนถึงทุกวันนี้ คนที่ทำงานกับ cloud ยังยอมรับว่า เป็นระบบที่ออกแบบได้ยืดหยุ่นสูงมากๆ และยังไม่มีงานไหนที่ออกแบบได้ยืดหยุ่นเท่านี้อีกเลย, ในช่วงหลังของ project ก็ต้องเพิ่มความรับผิดชอบ ด้วยการคุมระบบ warehouse และ operation ด้วย ซึ่งถือว่าหนักขึ้นอีกมากเลยทีเดียว
ความเปลี่ยนแปลงในงานรายเดือน
ผมทำงานที่ Central ในส่วน Online นั้นมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนโครงสร้าง การบริหาร,เปลี่ยนที่นั่งทำงาน, เปลี่ยนแนวทางของธุรกิจ และอื่นๆ เปลี่ยนๆๆๆ เปลี่ยนจนชาชินกันเลยทีเดียว ผมก็ได้เรียนรู้อะไรจากความเปลี่ยนแปลงมามากด้วยเช่นกัน เช่น การเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน จะเปลี่ยนอีก 10 ที ก็ไม่ได้คิดอะไร ถ้าไม่ได้กระทบอะไรมากมายนัก เพราะชินละ หรือว่า เรียนรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งไม่ได้ให้ผลที่ดีเสมอไป หรือว่า การเปลี่ยนแปลงแบบไหนที่จะพาเราตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ได้เรียนรู้มาหมด 555
เปลี่ยนหัวหน้า
ปีเดียว ผมมีหัวหน้า 3 คนเลย ต้นปีกลางปีท้ายปี ที่เป็นแบบนั้น เพราะจังหวะชีวิตด้วย และ การเปลี่ยนแปลงการบริหารตามที่เล่าข้างต้นด้วย รวมทั้งการที่ผมเริ่มไป challenge ตัวเองด้วย ทำให้หัวหน้าผมเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งทุกคน ผมก็รักไคร่ดี ไม่มีปัญหาอะไร เป็น coach ให้ผมได้ในเรื่องที่ผมต้องการความช่วยเหลือ
เปลี่ยนจาก Project Manager (PM) มาเป็น Product Owner (PO)
ตลอดการทำงานที่ผ่านมา ไม่เคยได้ยิน Product Owner (PO) มาก่อน จนกระทั่ง Central ได้ทีมงานที่มาจาก Ensogo เดิม (เพราะ Ensogo เค้าปิดตัว central ก็เลยเจรจาดึงคนทำงานของ Ensogo เข้ามาเป็นทีมงานของ Central เลย) แล้วเค้าก็ใช้ Agile / Scrum เป็นปกติของเค้าอยู่แล้ว ก็เลยเอามาแนะนำให้ทำ เลยเอามาลองศึกษา แล้วก็ลองคุยกับ business ดู ในที่สุด ลองเอามา Roll out โดยมีผมเป็น PO คนแรก แบบที่เริ่มศึกษาด้วยตัวเองตั้งแต่แรกเลย อ่านจาก scrumprimer.org ซึ่งได้เคยแปลไทยเอาไว้ให้แล้ว โดยเวลาที่สงสัยอะไร หรือ ติดตรงไหน ก็จะมีสอบถามพี่ที่เค้ามาจาก Ensogo อีกที แต่เนื่องด้วยเป็น PO เป็นคนเดียว ที่ต้องคุมระบบใหญ่มากๆ ซึ่งมี developer เกือบ 30 คน ทำให้ผมต้องทำงานหนักมาก ถึงมากที่สุด จำได้ว่าเดือนนั้นทำงานไป 271 ชั่วโมง ทำงานหนักมากๆ ส่งอีเมล update ออกตอนตี 2 ถึงตี 4 แล้วตอนเช้ามานั่งประชุมในห้องตามปกติจนไปไหนมาไหนทุกคนถึงกับ งง ว่า นี่ได้นอนบ้างแล้วหรือยัง ทำไมกลางคืนได้อีเมล กลางวันมานั่งประชุมด้วยกัน แล้วไปนอนตอนไหน sprint นาน 2 week ผมเขียน card ใหม่ sprint หนึ่งเกือบ 200 card ส่วน card ที่ต้องเรียง prioity ก็มีหลักพันในทุกๆ sprint และยังวิ่งตามคุยกับทุก stakeholder ได้แบบไม่ตกหล่นอีก แต่ผมก็ดำเนินการได้เสร็จสรรพหมด พร้อมเข้า refinement, planning ทุกครั้ง (ทำไปได้)
แต่ว่าจากเรื่องนี้ ทำให้ผม strong ในสายงานความเป็น PO มากๆ เพราะว่าทำด้วยความเข้มข้น เหมือนอย่างที่คนอื่นทำนานหลายปี ผมทำแค่ครึ่งปี แต่บอกได้เลย ว่าเข้าใจองค์ประกอบ agile/scrum หมดแล้ว และสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ 5555 (เข้มข้นจริงๆ)
เริ่มสร้าง Big Data ของ Central Group
อันนี้ มาในช่วงกลางค่อนปลายปีแล้ว ก็คือ โอกาสที่ได้รับให้ไปสร้าง Big Data eco system ของ Central อันนี้ ไม่เล่ารายละเอียดมากเพราะเป็นความลับบริษัท แต่ว่าผมเป็นคนแรกของทีม ที่สร้าง eco system มันขึ้นมา จากความว่างเปล่า และ dead line ที่กำหนดมาว่า ต้องเสร็จวันไหน แค่นั้น…. สุดท้ายสำเร็จตามกำหนดจริงๆครับ เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ผมต้องผันตัวเองกลายเป็น super fast learner เพราะว่าเรื่อง Big Data ผมไม่เคยเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับมันมาก่อนเลย เริ่มจาก 0 ก็ว่าได้ แต่สุดท้ายก็เข้าใจ eco system , environment, operation, flow , process ตั้งแต่ที่ยังไม่มีอะไรจนกระทั่งสามารถ deliver business use case จาก eco system ได้เลย อันนี้อีกหนึ่งงานหินจริงๆ ช่วงที่ทำนี่คือ นึกว่าตัวเองเป็นนักศึกษา เพราะว่าอ่านหนังสือ , blog หรือ ความรู้ต่างๆประกอบเยอะมากๆๆๆๆๆ เพื่อให้เข้าใจมันมากที่สุด แบบว่า อ่านตลอดเวลาที่ว่างเลย
กลับมาให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น
ผมเป็นคนที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองนานหลายปีแล้ว และไม่ค่อยได้กลับบ้านเลย นับครั้งได้เลย ปีนึงไม่ถึง 10 ครั้ง ทั้งๆที่บ้านก็อยู่ลำลูกกา ปทุมธานี เท่านั้นเอง แต่ปีนี้ ผมเปลี่ยนความคิด ว่า พ่อ แม่เรา แก่ลงทุกวัน ไม่ได้อยู่กับเราไปอีกนานเท่าไรหรอก แล้วความสุขของพ่อแม่ ก็คือ เห็นลูกๆอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตานี่แหล่ะ ดังนั้น ผมเลย กลับบ้านบ่อยมากขึ้น พาพ่อแม่ ออกไปกินข้าวกันบ่อยขึ้น พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งบ้านมากขึ้น เพราะความคิดที่เปลี่ยนไปนี้แหล่ะ ‘เวลาชีวิตของเรามันสั้นนัก จงใช้ไปในสิ่งที่ควรต้องทำ’
ปรับปรุงบ้าน
จริงๆ ตอนที่ซื้อมาเมื่อปลายปี 2016 ก็ทิ้งเอาไว้อยู่อย่างนั้นหลายเดือนเลย ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะไม่ค่อยได้ใส่ใจกับมัน (ภาษาชาวบ้าน มักจะใช้คำว่า ไม่มีเวลา แต่ความจริงคือ ไม่ได้ใส่ใจมันเท่าที่ควร ฮ่าๆๆ) แต่ปีนี้คิดว่าทิ้งต่อไปไม่ได้แล้ว ก็เลยกัดฟัน เริ่มให้ออกแบบภายในภายนอก หาผู้รับเหมา ประเมินราคา ทุกอย่าง แบบเหมารวม (เพราะไม่มีเวลาอีกแล้ว ฮ่าๆๆๆ) จากนั้น ก็ให้เค้าดำเนินการปรับปรุงเลย นี่ก็ประมาณ 4 เดือนแล้ว คาดว่าน่าจะเสร็จในอีกไม่เกิน 2 เดือนข้างหน้านี้ น่าจะเข้าอยู่ได้ ตื่นเต้นอยากเข้าบ้านใหม่แล้ว
อ่านหนังสือ
ปีนี้เป็นปีแรกที่เริ่มอ่านหนังสือแบบไม่จริงจังมากๆ เน้นสบายๆอ่านได้ทุกวัน แค่วันละ 25 หน้า แต่อ่านจบไปแล้วทั้งหมด 30 เล่ม! โดยเป็นภาษาอังกฤษ 4 เล่ม ถือว่าผมได้เปลี่ยนตัวเองค่อนข้างมาก จากเมื่อก่อน ไม่ค่อยได้อ่าน หรืออ่าน ก็ปีละ 1-2 เล่มเท่านั้น เพราะเคยอ่านหนังสือเยอะแล้วความรู้มันตีกันเลยไม่ค่อยอยากอ่าน กับ หนังสือต่างประเทศเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดี ปีหน้า ผมยังคงตั้งกำหนดด้วยความเร็วเท่าเดิม แต่ว่าจะพยายามทำให้ได้มากขึ้น เพราะปีนี้ fail ไม่ได้อ่านไปหลายวันเลย
เปลี่ยนมือถือ
จากที่เมื่อก่อน ซื้อมือถือไม่ค่อยแพง ประมาณหนึ่งหมื่น ไม่เกิน 15000 แต่ว่าปลายปี กัดฟันซื้อ xiaomi mix 2 ราคาเฉียด 3 หมื่น เพราะว่าถูกใจในคุณภาพ และงานของมือถือเครื่องนี้จริงๆ อีกเหตุผลก็คือ เอามาใช้งานด้วยเพราะว่าหลังๆเริ่มใช้งานมือถือหนักขึ้นเรื่อยๆ บางวันแทบไม่ได้เปิดคอมเลย (เมื่อก่อนไม่ค่อยชอบใช้งานมือถือเท่าไร) และมันเป็นเครื่องมือหากิน แพงแต่ได้ประโยชน์
ความคิดเปลี่ยนไปมาก
คนที่รู้จักผมในช่วงระยะไม่เกิน 2 ปีนี้ จะเห็นว่าผมเป็นคนคิดบวก เป็นคนมีพลัง แต่ถ้าคนที่รู้จักผมมากกว่า 5 ปี จะรู้ว่าเมื่อก่อนผมไม่ได้เป็นคนคิดบวกแบบนี้เลย ความคิดบวกนี้มันช่วยเราได้เยอะมากครับ ลองอ่านเรื่องที่ผมเคยเขียนเอาไว้ดูครับ กับการพัฒนาตัวเอง ในด้านต่างๆ เรื่องนี้ถึงกับมีพี่ที่ทำงานด้วยกันตลอดปีเศษๆ แต่ช่วงหลังจบ project ก็ไม่ได้ทำงานร่วมกันอีก กลับมานั่งคุยกันแล้วเค้าถึงกับทักเลย ว่าความคิดของผมโตขึ้นมาก มากกว่าเมื่อก่อนมากๆ และผมเป็นคนที่เข้าใจเรื่อง business, consumer และพื้นฐาน technical ก็ยังแน่นอีกด้วย ดังนั้นน่าจะโตไปได้กว่านี้อีกเยอะ ส่วนตัวผมเอง ก็รับรู้ได้เช่นนั้นเหมือนกัน เราโตขึ้นอีกเยอะ มีพลังความคิดทำอะไรได้หลายอย่างเลย (เวลานั้นเป็นอีกเรื่อง ฮ่าๆๆๆ)
เรียนรู้ด้าน business มากขึ้น เข้าใจ business มากขึ้น
เมื่อก่อนตอนที่เป็น PM ผมก็พยายามทำความเข้าใจ business ให้มากๆ ด้วยความที่ผมเป็นคน technical จ๋าๆ มาก่อน เลยคิดว่าการเสริมความรู้ด้าน business เพิ่มขึ้นจะทำให้เราแข็งแรงมากขึ้น ซึ่งก็จริง ผมเรียนรู้ business มากขึ้นและทำให้ได้เห็นมุมมองอีกด้านของทาง business เค้าคิดกันว่า การจะทำระบบแต่ละอัน มันมีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วเพื่ออะไร ดังนั้น การที่เราจะทำงานในด้าน technical เพื่อตอบโจทย์นั้น มันจะต้องทำอย่างไรถึงจะตอบโจทย์ทาง business ได้ดีที่สุด
ทั้งหมดนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องทั้งหมดของปี 2017 แล้ว บันทึกเอาไว้ ตรงนี้ เพราะชีวิตมันคือการเดินทางครับ โดยปี 2018 นี้ มีอะไรที่รอผมอยู่อีกมาก ผมก็จะไม่รอช้ารีบออกเดินทางไปในเส้นทางชีวิตที่ทอดยาวนี้ออกไปเลยตั้งแต่นี้เป็นต้นไป…..