เมื่อวานได้คุยกับหนึ่งใน candidate ที่มาสัมภาษณ์ (ขอเอาเรื่องมาเล่าแบบไม่เปิดเผยตัวตน)
เค้าเล่าว่า ตอนนี้งานที่เค้าทำ มันเล็กน้อยมาก ตั้งแต่ตอนที่สัมภาษณ์ เค้าบอก HR ตรงๆว่า ถ้างานแค่นี้ ไม่ต้องรับผมก็ได้นะครับ เด็กจบใหม่ก็ทำอย่างที่ผมทำได้ แต่สุดท้าย HR ก็รับเค้า งานของเค้า คือ system engineer ที่ดูแลอุปกรณ์ server และ IT + network ของบริษัท ซึ่งคนใช้งานไม่เยอะ อุปกรณ์ในห้อง server มี 3 ชิ้น มี อีกสาขา 3 สาขาแต่ไม่ได้เชื่อม network กัน เค้าก็ดูแลทุกอย่าง ตั้งแต่ server สายแลน network computer (ผสม IT Support ด้วย) ทั่วๆไป
เค้าบอกว่า งานของเค้ามันธรรมดามากๆ ไม่มีอะไรให้ท้าทาย และไม่ได้สร้างอะไรใหม่ด้วย จนเค้ารู้สึกว่า งานสบายเกินไป เลยอยากมาหางานใหม่ที่ท้าทายกว่านี้ เค้ารัก และ ชอบในงาน network มาก ถ้าได้ไปทำ เค้าจะมีความสุขมากกว่านี้ ทุกวันนี้เค้าไม่มีความสุขกับงานที่ทำเลย เพราะมันซ้ำไปซ้ำมา ก็ดูแลอุปกรณ์ทั่วไป server เครื่องเดียวแค่นั้น เค้าเคยไปสมัครที่ใหม่ แต่ที่ใหม่ต้องการภาษาอังกฤษ ซึ่งเค้าก็ติดเรื่องนี้เลยไม่ได้ไปต่อ ตอนนี้เค้าต้องการพัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีกก็เลยหวังว่าจะได้รับโอกาส
ผมเลยถามเค้าว่า : ถ้ารักงาน network จริง ทำไมไม่ลองทำล่ะ
เค้าตอบ : เพราะทุกวันนี้ไม่ได้มีเวลาว่างมากพอที่จะทำ และงานที่บริษัท ก็ไม่ได้มาด้านนี้ด้วย ที่ทำตอนนี้ ก็ทั่วๆไป ไม่ได้แบ่ง vlan อุปกรณ์ก็ไม่มีให้ทดลอง สายแลน wifi ก็แบบพื้นๆหมดเลย เลยไม่ได้ลองอะไรใหม่เลย
ผมถามต่อว่า : เห็นบอกว่างานสบาย แล้วทำไมไม่เอาเวลาไปศึกษาความรู้เพิ่มเติมล่ะ
เค้าตอบ : ตอนนี้ ก็กำลังจะเริ่มอยู่ครับ ผมก็จะเริ่มใช้เวลาว่าง เพื่อฝึกภาษาอังกฤษกับการเขียนโปรแกรมครับ
ผมก็ถามไปมาอีกหลายเรื่อง จนกระทั่งช่วงใกล้จบการสนทนากัน ผมเลยคุยกับเค้าแบบเปิดอก
ผมถามเค้าว่า : ถามหน่อย ในมุมมองของเรา งานของบุรุษไปรษณีย์ ที่มีหน้าที่ส่งจดหมายตามบ้าน น่าเบื่อมั้ย
เค้าตอบ : ก็คิดว่าน่าจะต้องน่าเบื่อนะ
ผมเสริม : ใช่ คิดว่ามันต้องน่าเบื่อมากแน่ๆเลย เพราะว่างานเค้ามันก็แค่เอาจดหมายจากศูนย์ไปรษณีย์ ไปหยอดตามบ้านแค่นั้นเอง
เค้าเสริม : ใช่ครับ ผมก็ว่าอย่างนั้น
ผมเลยเล่าต่อ : แต่ถ้าบุรุษไปรษณีย์คนเดิม เค้าตื่นขึ้นมาวันใหม่ พร้อมกับความคิดว่า งานของเค้า คือการนำสาร ที่สำคัญมากๆจากคนส่งไปให้ผู้รับ ในทุกๆฉบับที่เค้านำส่ง ต้องนำส่งให้เร็วและสภาพดีที่สุด โดยถ้าไม่มีบุรุษไปรณีย์ที่ทำหน้าที่ตรงนี้อย่างรวดเร็ว และถูกต้อง ทั้งผู้ที่ส่งสารคงเสียใจ ที่สารไปไม่ถึง และ ผู้ที่รับสาร อาจจะพลาดโอกาสที่ดีๆ หรือ สิ่งที่ดีๆ ที่ผู้ส่งต้องการให้เป็นแน่แท้ ดังนั้น งานของเค้ามันยิ่งใหญ่ และสำคัญมากๆ ต้องรีบตื่น รีบไปทำ และทำให้ดีที่สุด
ผมถามเค้าว่า : แบบนี้งานบุรุษไปรณีย์งานเดิม ยังน่าเบื่ออยู่มั้ย
เค้านิ่งเงียบไป แล้วตอบ : อืม ไม่น่าเบื่อแล้วครับ
ผมเสริม : ครับ ทุกอย่างมันขึ้นกับมุมมองของเราเองครับ งานเดิม ทำเหมือนเดิม แต่มองอีกมุม ก็พบว่ามันให้ความคิดอีกแบบ และจะเป็นแรงผลักดันเราได้
ผมถามเค้าต่อ : เราบอกว่ารักงาน network
เค้าตอบ : ใช่ครับ
ผมถาม : แล้วทำไมเราไม่เอาเวลาว่างไปศึกษาเรื่อง network ล่ะ เห็นว่าเราเอาเวลาไปศึกษาการเขียน program
เค้าตอบ : ก็เพราะว่าเห็นเค้าเขียนโปรแกรมแล้วสวยดี คิดว่าถ้าเราเขียนโปรแกรมได้ มันน่าจะดีกับตัวเราแน่นอน
ผมถามต่อ : แต่เราบอกว่า เราชอบงาน network นะ แล้วทำไมเราเอาเวลาว่างฝึกเขียนโปรแกรม?
เค้านิ่งอึ้งไปอีก แล้วตอบ : จริงๆ ก็เป็นเพราะมีงานหนึ่งที่พนักงานใน office เค้าต้องทำซ้ำๆ เลยคิดว่าถ้าเราเขียนโปรแกรมเล็กๆมาช่วยตรงนี้ได้ ก็น่าจะดี
ผมถาม : แล้วอย่างนี้เมื่อไรจะไปถึงฝันที่เราอยากทำงาน network ล่ะ?
เค้าเงียบไป
ผมเลยแนะนำต่อ : ผมเห็นด้วย ที่เอาเวลามาฝึกภาษาอังกฤษ เพราะทุกตำแหน่ง ทุกสายงานจำเป็นต้องใช้ และมีติดตัวไว้ใช้เสริมฐานเราได้แน่นอน แต่ทำไมความอยาก กับสิ่งที่เราทำ มันจึงขัดแย้งกัน เรารัก และอยากทำ network แต่เอาเวลาไปฝึกเขียนโปรแกรม ซึ่งถ้าคุณบอกว่า ต้องการฝึกเขียนโปรแกรม เพื่อให้ได้รู้ว่าผมชอบ หรือไม่ชอบ แบบนี้ผมเห็นด้วย แต่ถ้าบอกว่าฝึกเพราะอยากรู้ อยากเป็นแบบนี้ ผมไม่เห็นด้วย เพราะแปลว่าคุณไม่ได้รัก network จริงๆหรือเปล่า
ผมเสริม : จริงๆ ทุกวันนี้ AWS เค้ามีให้เราใช้งานได้ฟรี และ google cloud ก็มี credit ให้ใช้งานฟรีเหมือนกัน เราไม่เอาสิ่งนี้มาทดสอบดูล่ะ มันจะได้ตอบโจทย์งานที่เรารักจริงๆ
เค้าตอบ : ผมคิดว่าเป็นเพราะว่ามีเวลาว่างยาวๆไม่ต่อเนื่องมากพอ
ผมเสริมไป : ลองคิดดูดีๆนะครับ ว่า การที่เราไม่ได้ทำสิ่งที่เราอยากทำ เป็นเพราะ “เราไม่ว่าง” หรือ “เรายังไม่ให้ความสำคัญ” กันแน่ เพราะลองคิดตามนะครับ ถ้าเราบอกว่า เราไม่ว่าง มันต้องเป็นภาพแบบ วิ่งวุ่นไม่ได้หยุด เก้าอี้แทบไม่ได้นั่ง ข้าวก็ไม่ได้กิน อย่างนั้นคือไม่ว่างครับ แต่ถ้าเรา พอมีเวลานิดหน่อย แล้วเราก็บอกว่า อืม เรายังมีเวลาไม่มาก เดี๋ยวก็ต้องไปทำนู่นนี่นั่น กลับบ้านก็เป็นเวลาพักผ่อน แบบนี้น่าจะเข้าข่าย “เรายังไม่ให้ความสำคัญ” มากกว่า
เค้านิ่งอึ้งไป ……
สุดท้ายก่อนจะลาจากกันไป ผมขอโทษเค้า ถ้าเข้าใจว่าผมจะว่าเค้า แต่ที่ผมพูด เพราะแค่อยากให้เค้าลองมองมุมอื่นดูบ้าง ผมไม่ได้ต้องการจะว่าเค้า และมันอาจจะดูตรงไหตรงมาสักหน่อย เค้าก็บอกว่า ไม่เป็นไรเลยครับ ขอบคุณซะอีกที่เปิดมุมมองในหลายๆเรื่องเลย และยินดีมากๆที่ได้คุยกัน
ฝากไว้เป็นข้อคิดบทความนี้ ถ้าเราทำงานที่เปรียบเหมือนเป็นบุรุษไปษณีย์ แล้วกำลังหมดไฟ ก็ลองมองมุมใหม่นะครับ แล้วพัฒนาให้มันดีขึ้น เจ๋งขึ้น แล้วคุณจะพบว่า งานมันเหมือนเดิม แต่ผลงานที่ได้ มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หรือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารเวลา ที่บอกว่าไม่ว่างพอ ถ้าเราไม่เข้าข้างตัวเอง ลองมองด้วยความเป็นจริงดูนะครับ ไม่ว่างจริงๆ หรือแค่เรากำลังหาข้ออ้าง ข้อแก้ตัวให้ตัวเองเท่านั้น
ขอบคุณประสบการณ์ที่มีคุณค่าต่อตัวผมเองครับ