หลักการนี้เค้าเอาชีวิตเราไปเปรียบกับหม้อ ที่ต้องเอาไปตั้งบนเตา ที่มี 4 เตา โดยแต่ละเตา เปรียบกับแต่ละด้านของชีวิตเรา นั่นคือ
- เตาแรก เปรียบกับครอบครัว
- เตาที่สอง เปรียบกับเพื่อน
- เตาที่สาม เปรียบกับชีวิต
- เตาที่สี่ เปรียบกับงาน
ทฤษฎี 4 เตา (4 Burners Theory) เค้าบอกเอาไว้ว่า “ในการที่เราจะสำเร็จอะไรสักอย่าง เราจำเป็นจะต้องปิด 1 เตา และในกรณีที่เราต้องการสำเร็จมากๆ เราจำเป็นต้องปิด 2 เตา“
ซึ่งทฤษฎี 4 เตาเนี่ย มันสื่อได้ถึงความเป็นจริงในชีวิตมากๆเลยล่ะครับ ลองคิดง่ายๆว่า เราสามารถทำให้ทั้ง สี่เตาสำเร็จได้จริงหรือเปล่า บางคนอาจจะเถียงว่าเค้าทำสำเร็จได้ทั้งสี่เตาพร้อมกัน แต่ผมไม่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้นได้จริง เพราะว่าเวลาในชีวิตคนเรามีจำกัด ลองคิดดูง่ายๆว่าเราโหมงานเพื่อจะให้สำเร็จ แต่เสวลาเลิกงานแล้วเพื่อนชวนไปกินข้าว แล้วเราไปหรือเปล่า? ถ้าเราไปแล้วกว่าจะกลับถึงบ้านกี่โมงล่ะ? แล้วครอบครัวเราจะยอมได้อย่างนั้นจริงหรือ? เห็นมั้ยครับ กรณีนี้เราก็ต้องตัดครอบครัวออกไปแล้วล่ะ บางคนอาจจะเถียงต่อ ไม่จริง ก็รีบไปกินให้เพื่อนเห็นหน้า ปาร์ตี้สั้นๆแล้วรีบกลับมาอยู่กับภรรยา คำถามคือ แล้วเรื่องสุขภาพเราล่ะ? การจะมีสุขภาพที่ดี ก็ต้องออกกำลังกายบ่อยๆ หรือทุกๆวันไม่ใช่หรือ?
บางคนอาจจะไม่ได้ชอบการโหมอะไรสักเรื่องหนึ่ง แต่อยาก balance มากกว่า แต่เราก็ต้องรับได้ว่า การที่เราพยายาม balance มัน นั่นเท่ากับว่ามันจะไม่ได้อะไรที่เจ๋งสักอย่างเลย
นี่ล่ะครับ มันคือความจริงของชีวิตที่เราต้องยอมรับมันให้ได้ก่อน เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อเรารับในความเป็นจริงนี้ได้ เราก็จะหาทางอยู่ร่วมกับมันได้อย่างมีความสุขและเราจะควบคุมมันได้ครับ
การปรับตัวให้เข้ากับ ทฤษฎี 4 เตา 4 Burners Theory
วิธีที่ 1 เปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา
เพราะว่าชีวิตทุกคน ก็ไม่ได้ต้องเลือกจะต้องทิ้งอะไรไปบางอย่างตลอดเวลานี่นา ตัวอย่างเช่น บางช่วงที่โหมงานมากๆ อาจจะไม่ได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดเป็นเวลานาน เพราะว่าต้องทำงานเสาร์อาทิตย์ด้วย ก็คือช่วงที่เราปิดเตาครอบครัว แต่ว่า เราก็ยังมีโอกาสช่วงที่เราปิด project ไปแล้ว กลับบ้านบ่อยๆได้ นั่นก็จะเป็นช่วงที่ปิดเตางานนั่นเอง นี่คือเรื่องหนึ่งที่เราปรับได้ตามช่วงเวลา เพราะว่าเราควบคุมมัน และเป็นคนเลือกมันด้วยตัวเราเอง
วิธีที่ 2 หาคนช่วยทำแทน
วิธีนี้เป็นแนวที่เราหาคนมาทำบางอย่างแทนเรา ขึ้นอยู่กับที่เรามองว่า อะไรบ้างที่เราสามารถให้คนอื่นทำแทนเราได้ ตัวอย่างผมทำงานทั้งเวลางาน และนอกเวลางาน ดังนั้น ผมก็ไม่ค่อยมีเวลาดูแลความสะอาดบ้านเท่าไร แต่ผมเป็นคนที่ไม่ชอบบ้านสกปรก ดังนั้น ผมก็จ้างแม่บ้านครับ ให้แม่บ้านทำความสะอาดแทนเรา เราก็ใช้เวลาเพื่อไปหาเงิน หรือพักผ่อนแทน เพราะว่าการทำความสะอาดบ้านก็มี 2-3 ชั่วโมงเหมือนกัน บางคนอาจจะดูแลเรื่องสุขภาพมาก อาหารการกิน ก็ต้องกินของดี กินคลีน แต่ว่า จะมาเตรียมของทำเอง ก็เสียเวลา จึงใช้เงินเพื่อซื้ออาหารคลีนที่เค้าเน้นความสะอาด และสุขภาพมากินเลย เราก็จะได้ลดเวลาเรื่องการทำอาหารลงไปได้อีก โดยยังได้สุขภาพอยู่ด้วย
วิธีที่ 3 ผลักดันตัวเองขึ้นไปอีก
วิธีนี้อาจจะยากที่สุด และเหนื่อยที่สุด เพราะว่า เราไม่ได้ใช้เงินเพื่อซื้อเวลาที่คนอื่นต้องมาทำงานบางอย่างให้เรา และเราก็ไม่ได้ปล่อยสบายๆ เพราะว่าเราตัด 1 – 2 เตาออกไปก่อนแล้ว แต่ว่าวิธีนี้คือการพยายามบีบคั้นความสามารถตัวเอง เพื่อให้เพิ่มศักยภาพของตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีก ตัวอย่าง เดิมเราทำงาน แล้วเลิกงาน ตามเวลางาน เราก็ได้แค่เงินเดือน แค่เราก็ต้องคิดต่อว่า เราจะทำอย่างไร เพื่อให้ได้เงินเพิ่มขึ้น โดยที่เรายังคงใช้เวลาไปกับงานเท่าเดิม บางคนอาจจะใช้การถักไหมพรมเพื่อขายระหว่างการเดินทางไปทำงาน พักกลางวัน นั่งรถกลับบ้าน แค่นี้ เงินก็ค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นทีละน้อย โดยที่เราก็ยังเสียเวลาไปกับการทำงานและกลับบ้านเท่าเดิม หรือว่า บางคนอาจจะคิดว่า ใช้เวลาช่วงพักกลางวันโทรหาครอบครัวบ้างดีมั้ย เพราะว่า ตื่นมาทำงานก็เช้ามาก เลิกงานก็กลับบ้านดึก ดังนั้นตอนกลางวันนี่แหล่ะ เป็นเวลาที่น่าจะเหมาะที่สุดในการโทรคุยกับคนที่บ้านเพื่อให้หายคิดถึงกัน
ไม่มีใครที่อยากเสียแง่มุมไหนของชีวิตไปหรอกครับ แต่ก็ต้องเข้าใจว่า ชีวิตมันก็แบบนี้แหล่ะ บางอย่างที่เราได้มา ก็ต้องมีบางอย่างไปแลกเปลี่ยนด้วยเสมอ แล้วคุณล่ะ จะตัดเตาไหนออกก่อนดี ตอบตัวเองได้มั้ยครับ?