ปัจจุบัน และ อนาคตของ eCommerce ไทย

current and future thai ecommerce

ไม่พูดเรื่องนี้เห็นทีจะไม่ได้ จากที่ผมอยู่ในสายงาน eCommerce มา 6 ปี เรียกได้ว่าเป็นคนกลุ่มแรกๆที่เริ่มทำอย่างจริงจัง ผ่านมาจนถึงวันนี้ ผมขอเล่ามุมมองจากของผมนะครับ

ไปได้อีกยาวยาวๆ

ถ้าเราสังเกตเราจะพบว่าตอนนี้วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อของบางอย่าง จากห้างมาผ่านทางมือถือแล้วอย่างเช่น พวก Gadget ต่างๆ หลายคนก็นิยมดูผ่านหน้าเว็บแล้วสั่งผ่านออนไลน์เลย เขาไม่ไปเดินหาซื้อมากอย่างเมื่อก่อนแล้ว แต่ว่าของบางอย่างยังคงไปเดินเลือกซื้อด้วยตัวเองอยู่
เช่น ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน แชมพู สบู่ ยาสระผม ของเหล่านี้คนไทยก็ยังไม่ค่อยนิยมซื้อผ่านออนไลน์เท่าไหร่ ซึ่งจริงๆแล้วเหมาะสมแก่การซื้อผ่านออนไลน์มากกว่าด้วยซ้ำ สาเหตุเพราะว่าเป็นสินค้าที่ซื้อจากที่ไหนก็ได้สินค้าที่เหมือนกัน แต่อาจจะเป็นเพราะว่าห้างใหญ่ๆเพิ่งจะเริ่มปรับตัวเข้ามาขายผ่านทางออนไลน์ในสินค้าเหล่านี้ และความไม่คุ้นชินของการสั่งซื้อสินค้าเหล่านี้ผ่านทางหน้าเว็บหรือออนไลน์ด้วยแหละ กับอีกเรื่องนึงที่ดูจะเป็นประเด็นที่น่าสนใจคือคนไทยยังชอบเดินห้างเย็นๆอยู่ มันก็คงอารมณ์แบบ ไปเดินซื้อของดูบรรยากาศ ดูผู้คนหาอะไรกิน หาอะไรดื่มแล้วค่อยกลับบ้าน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีในออนไลน์ คนซื้อผ่านออนไลน์เข้าคิดคนละอย่าง เขาคาดหวังความสะดวก แต่ผมพบว่ามีกลุ่มนึงที่มีกำลังซื้อสูงขึ้นเรื่อยๆ คือสินค้าที่หนัก หรือใหญ่ ไม่อยากไปแบกเอง เช่น น้ำดื่มเป็นถั แพ็คข้าวสารเป็นถุง เหล่านี้ หลายคนเริ่มเปลี่ยนมาสั่งผ่านหน้าเว็บแล้ว โดยเฉพาะคุณผู้หญิงตัวคนเดียว

ยังมีพื้นที่อีกมาก

ไม่มีคำว่าสายเกินไปเพราะว่าตอนนี้อีคอมเมิร์ซไทยก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ก็ไม่ได้เริ่มต้นนับจากศูนย์แล้ว เค้านับเลขกันมาได้ประมาณหนึ่งแล้วล่ะ แต่ยังมีโอกาสไปได้อีกเยอะมาก เพราะว่าหลายอย่างมันเอื้ออำนวยกว่าเมื่อก่อน เช่น อินเตอร์เน็ตเมื่อก่อนเราจะใช้อินเตอร์เน็ตเราต้องหาสัญญาณ WiFi แต่เดี๋ยวนี้หรอ โทรศัพท์มือถือแทบทุกเครื่อง ต่างมีอินเตอร์เน็ตใช้งานทั้งนั้น ดังนั้น eCommerce ยังมีพื้นที่ให้คุณอีกมาก เชื่อผมไม่มีคำว่าสายเกินไปขอเพียงแค่คิดแล้วทำ สำคัญที่สุดคือก้าวแรกซึ่งมันจะยากที่สุด แต่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คุณอย่าไปคิดว่าเจ้าใหญ่ๆเขาจะกินรวบไปหมด เจ้าเล็ก ก็ยังมีพื้นที่ให้ยืนอยู่เหมือนกัน

เติบโตขึ้นตลอด

ถ้าใครได้ติดตามอัตราการเติบโตของ eCommerce ในประเทศไทยจะพบว่ามีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นทุกปี แม้ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ก็ยังคงโตขึ้นเรื่อยๆนั่นหมายความว่าตลาดนี้ใหญ่ขึ้นได้เรื่อยๆ มีพื้นที่ให้คุณมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แน่นอนก็มีคู่แข่งเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน กลยุทธ์ของแต่ละเจ้าก็ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อผมอย่างหนึ่งว่าโดยรวมแล้วมันจะเป็นการพัฒนาส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพราะทำให้คนกล้าซื้อของผ่านออนไลน์มากขึ้น และเมื่อคนกล้าซื้อของผ่านออนไลน์แล้วเขาก็จะมองสินค้าในกลุ่มอื่น เพื่อซื้อผ่านออนไลน์ด้วยเช่นกัน (ประยุกต์ใช้ประสบการณ์ร่วม) เพราะเริ่มมีประสบการณ์กับการซื้อผ่านออนไลน์มากขึ้น จนถึงจุดจุดหนึ่ง เขาจะมองว่า ไม่เห็นต้องไปเดินห้างเลย ก็สั่งผ่านมือถือก็ได้ เดี๋ยวของเข้าไปส่งที่บ้าน ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่มีความคิดแบบนี้แล้ว แต่แน่นอนยังไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่แต่มันกำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

ไม่ดีจริงต่างชาติไม่เข้ามาแน่นอน

เราจะเห็นได้ว่าตอนนี้อีคอมเมิร์ซที่ขายของไทยหลายเจ้า ถ้าคุณไปค้นประวัติดีๆจะพบว่าเจ้าของเป็นชาวต่างชาติ เป็นบริษัทที่มีหุ้นของต่างชาติ ไม่ใช่บริษัทคนไทย 100% เพราะเขาเห็นโอกาสในการเติบโตของ eCommerce ในประเทศ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขาจึงขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซเข้ามาในประเทศนี้ ซึ่งในฝั่งยุโรปหรืออเมริกาเองการขายผ่านทาง eCommerce เป็นเรื่องธรรมดามากแล้ว และเขาก็นำหน้าเราไปไกลถึงขั้นใช้โดรนในการส่งสินค้ากันแล้ว แต่ประเทศเราที่ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น เอาแค่ให้คนเริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนมาซื้อผ่านออนไลน์มากขึ้นเขาก็ได้ยอดขายไปจำนวนมหาศาลแล้ว เพราะเขาเห็นช่องทาง เขาจึงเข้ามาทำ แล้วทำไมเราอยู่ในประเทศไทยแท้ๆเราจึงมองไม่เห็น

อย่าเพิ่งหวังกำไรจากน้ำบ่อหน้า

ผมเคยเล่าไปแล้วว่าหลายคนมองว่า eCommerce คือสิ่งที่ทำเพื่อจะพลิกธุรกิจขึ้นมาได้หรือเป็นช่องทางสุดท้ายที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอดในภาวะวิกฤติ ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด ส่วนหนึ่งใช่ แต่หลักๆจะไม่ใช่ ในช่วงนี้อีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะสำหรับเจ้าใหญ่เขาทำเพื่อส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่าจะได้กำไรจากช่องทางนี้ เพราะว่าถ้าคนมีความเชื่อมั่นในการซื้อของแล้ว เขาจะกลับมาซื้อซ้ำการกลับมาซื้อซ้ำแปลว่าเราไม่มีต้นทุนเพิ่มในการหาลูกค้ารายใหม่ แล้วในวันนั้นธุรกิจจะอยู่ได้แบบยาวๆ เพราะไม่มีหน้าร้านหรือสาขาที่ต้องใช้คนเป็นจำนวนมากและทรัพยากรเป็นจำนวนมากในการบริหาร แต่อีกหลายธุรกิจก็ใช้เป็นการผสมกันเพื่อสร้างจุดแข็งซึ่งกันและกัน เช่น ธุรกิจที่ตั้งใจจะยังมีหน้าร้านอยู่ต่อไปเขาเปลี่ยนหน้าร้านเพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า แต่กับการขายสินค้าเขาเลือกที่จะส่งไปถึงบ้านลูกค้าเพื่อให้ลูกค้ามาได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดที่หน้าร้านและกลับไปบ้านก็ยังได้รับสินค้าใช้โดยที่ไม่ต้องแบกกลับ แต่บางธุรกิจก็เข้ามาเพื่อทำกำไรจากทาง eCommerce เลย ส่วนใหญ่จะเป็นรายย่อยมาก่อน สาเหตุเพราะว่า เขาเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ซึ่ง eCommerce จุดเริ่มต้นนั้นต้นทุนจะต่ำมาก ทำให้เขาสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วได้ไว ไม่ต้องใช้คนเยอะ และทำกำไรได้ ในจุดนี้อยากให้มอง eCommerce เป็นเกมยาวๆมากกว่า เพราะว่า คุณต้องขายสินค้าดี บริการดี คู่กับการทำแบรนด์ให้ดี เพื่อให้ในอนาคตต้นทุนของเรื่องเหล่านี้จะลดต่ำลง

อย่าไปกลัวกับสิ่งที่ไม่เข้าใจ

หลายคนไม่กล้าเข้ามาทำ a commerce เพราะว่าไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรและกลัวไปก่อน ซึ่งนั่น อาจจะไม่ใช่สัญชาตญาณที่ดีของการเป็นนักธุรกิจเท่าไหร่ เพราะการเป็นนักธุรกิจคุณต้องเข้าไปศึกษาถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และคุณอาจจะต้อง เอาความเสี่ยงเข้ามาใส่ตัวเองบางส่วน โดยมีเป้าหมาย ในอนาคตที่จะทำเกมบางอย่าง ถ้าคุณคิดว่าไม่เข้าใจจึงไม่กล้าทำ ก็แก้ปัญหาด้วยการทำความเข้าใจ
แนะนำให้สอบถามหลายๆคน ว่ามันคืออะไรมันทำงานยังไง มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังยังไง ได้รายได้จากไหนคนใช้มันมากแค่ไหน ถามเยอะๆ ถามหลายๆคน เพื่อให้คุณเข้าใจในภาพรวม แล้วสุดท้าย ก็ลองตัดสินใจเองว่ามันใช่เวลาแล้วหรือยัง ที่คุณจะทำ แต่ผมก็เห็นบางธุรกิจตั้งใจที่จะไม่ทำและยอมพร้อมที่จะปิดธุรกิจตัวเองเพราะไม่ต้องการทำ หรือเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่ online ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าเขาผิด แต่นั่นเป็นการตัดสินใจในทางเลือกของธุรกิจของตัวเขาเอง

ถ้าจะไปต้องไปให้สุด

ผมเห็นหลายธุรกิจมีข้อผิดพลาดในเรื่องนี้ คือความไม่ชัดเจนในการตั้งกลยุทธ์ จะทำ eCommerce มันก็ต้องมีกลยุทธ์ครับ ไม่ใช่แค่คิดอยากทำก็ทำเลย แล้วพรุ่งนี้เบื่อแล้วก็เลิก มันไม่ส่งผลดี เท่านั้นยังไม่พอรับรองได้ว่าขาดทุนแน่นอน เพราะในช่วงที่คุณทำคุณจะต้องจัดเตรียมอะไรเยอะแยะ ใช้เงินลงทุนอีกบางส่วน ปรับงานที่ทำอยู่ปกติอีกบางส่วน ทำให้สะดุดหรือต้องเปลี่ยนแปลงคนทำงานในบางอย่าง
แต่สุดท้ายก็เลิกทำ คุณก็ต้องแลกด้วยอะไรบางอย่างที่เสียไป ดังนั้นให้คุณตั้งเป้าไว้ว่า การที่จะทำ eCommerce มันจะไปได้ถึงที่จุดไหนที่คุณน่าจะพึงพอใจ แล้วลุยเลยครับ วางแผนให้ดีมีกลยุทธ์อย่างที่บอกถ้านึกไม่ออกลองถามผู้รู้ครับ

ทั้งหมดนี้ ผมคิดว่าคุณน่าจะได้มุมมองบางอย่างต่ออีคอมเมิร์ซในบ้านเราแล้ว ถ้าคุณไม่รู้จะปรึกษาใคร มาปรึกษากับผมก็ได้นะครับ ผมยินดีให้คำปรึกษาฟรี เพราะผมก็เป็นคนที่อยากพัฒนา eCommerce ในประเทศไทยให้มันโตขึ้นไปอีก ดังนั้นถ้ามีอะไร ที่ผมพอจะช่วยได้ก็ยินดีครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *