อ่านหนังสือ 14 เล่ม ในสามเดือน ง่ายๆ แค่วันละ 25 หน้า

เทคนิคการอ่านหนังสือ

อยากอ่านหนังสือ แต่ไม่มีเวลา งั้นลองอ่านแค่วันละ 25 หน้าสิ ผมลองทำแล้ว 3 เดือน อ่านจบ 14 เล่ม ทั้งที่ก่อนนี้ ปีนึงจะได้อ่านแค่เล่มสองเล่มเอง

ทุกคนรู้ว่า การอ่านหนังสือ จะช่วยเพิ่มความรู้ให้ตัวเองได้ หรืออย่างน้อยก็มีประโยชน์กับตัวเองในหลายๆ เรื่อง แต่ปัญหาก็คือไม่มีเวลาอ่าน ไม่รู้จะเอาเวลาไหนมาอ่านให้มันจบสักเล่ม อ่านไปก็หลับไปไม่รู้เรื่องอีก ถ้าเป็นแบบนี้ แล้วยังอยากอ่าน ลองทำวิธีที่ง่ายๆดีมั้ยครับ

ถ้าไม่อยากอ่านยาวมาก ผมสรุปให้สั้นๆเลย ว่าผมใช้เทคนิค ทำอะไรที่ ง่ายๆ แต่สามารถทำได้ทุกวัน ก็คือ ผมกำหนดให้ตัวเองอ่านหนังสือ แค่วันละ 25 หน้าพอ เพราะคิดว่าทำได้ไม่ยาก(เปิดหน้าหนังสือ สิบกว่าที ก็ 25 หน้าแล้ว)  ไม่ใช้เวลาเยอะ (ก็เพราะว่าเราไม่มีเวลากันใช่มั้ยล่ะ งั้นอย่าใช้เวลาเยอะ) และทำมันได้ทุกวัน (เพราะว่ามันไม่เหนื่อยจนเกินไป ในการจะทำมันทุกวัน ตั้งเป้าง่ายๆก็พอ) แค่นี้แหล่ะครับ ที่ทำให้อ่านหนังสือได้ 14 เล่มในสามเดือน แต่ถ้าอยากรู้ว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร แล้วทำอย่างไร ผมจะได้เล่าต่อไปครับ

ย้อนกลับไปเมื่อสามเดือนก่อน ผมได้ฟัง podcast minimal life เค้าก็เล่าให้ฟังว่า เราอย่าทำให้ชีวิตเรามันยุ่งยาก เราทำชีวิตให้มันง่ายๆนี่แหล่ะ มันได้ผลมากกว่า เค้าก็เล่าว่าถ้าเราอยากไปให้ถึงเป้าหมายที่มันไกลๆ มันก็จะดูยุ่งยากซับซ้อนมากเลย แต่ว่าเราทำให้มันง่ายๆด้วยการ เริ่มทำสิ่งง่ายๆ แต่สามารถทำได้ทุกวัน และทำมันไปเรื่อย แล้วเราก็จะสำเร็จในสักวันหนึ่ง รวมทั้งเค้ายกตัวอย่างเรื่องการอ่านหนังสือด้วยนะ(ถ้าจำไม่ผิด) ว่าเราก็อย่าไปอ่านมันเยอะ หนังสือเล่มนึงมีตั้งเยอะ ใช้เวลาตั้งนานกว่าจะอ่านจบ แค่คิดเส้นทางกว่าจะอ่านจบก็ท้อซะแล้ว ดังนั้น เราเปลี่ยนใหม่เป็น อ่านวันละนิดๆหน่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จบเอง

ผมก็เลยเอามาคิดอย่างจริงจัง ว่า ถ้าเราอ่านหนังสือ จำนวนหน้าไม่เยอะ เช่น 5 หน้า มันง่ายมากแน่นอน แต่คิดอีกที 5 หน้าคิดเปิดหนังสือ เปลี่ยนหน้า สามรอบ ก็ครบแล้ว 5 นาทีเองมั้ง เดินไปหยิบหนังสือยังใช้เวลามากกว่าอีก ก็เลยเปลี่ยนเลขไปมา แล้วคิดว่า 25 หน้า นี่จะเหมาะ ถ้าเราอ่าน 10 วัน เราจะได้ 250 หน้า ถ้าเราอ่าน 1 ปี จะได้ 9100 หน้า ซึ่งตอนนั้นผมจินตนาการไม่ออกเลย ว่า ปีหนึ่งมันจะอ่านจบไปกี่เล่ม แต่รู้ว่าเยอะมาก เพราะผมไม่ใช่หนอนหนังสือ ทำให้ไม่รูัว่าเฉลี่ยแล้ว หนังสือเล่มหนึ่งประมาณกี่หน้า รู้แต่ว่า เยอะแน่ๆ ก็เลยกลับมาลองเปิดหนังสือที่อยากอ่าน แล้วก็พบว่าจำนวนหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 200 หน้าขึ้นไป เลยทำให้รู้ว่า น่าจะอ่านได้เดือนละ 2-3 เล่มแน่ๆ ปีหนึ่งก็ 20-30 เล่ม

ปีนึงจะอ่านจบได้ 20-30 เล่ม! ผมพบว่านี่เป็นเลขที่น่าตื่นเต้นทีเดียว จากปกติที่อ่านปีละ 1-2 เล่ม ทั้งๆที่อ่านแค่วันละ 25 หน้า แต่มันจะให้ผลที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ

ก็เลยเริ่มสิครับ จะรออะไร

ผมเริ่มต้นเดือน มีนาคมปีนี้แหล่ะ ก็อ่านไปเรื่อยๆ ลองอ่านย้อนหลัง อ่านเดือนแรก จบไป 5 เล่ม , อ่านเดือนที่สอง จบไป 3 เล่ม และเดือนนี้ จบไป 6 เล่ม เท่ากับว่า 3 เดือนรวมกัน ผมอ่านจบไปแล้ว 14 เล่ม นั่นมันก็มาได้ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่ตัวเองคิดว่าจะทำได้ทั้งปีแล้ว

ผมได้ลองอ่านเรื่องของหลายคนที่เค้าตั้งเป้าหมายในการอ่านหนังสือ แต่พบว่า มันยุ่งยาก เตรียมตัวเยอะ เตรียมใจเยอะ อะไรอีกมากมายที่เค้าคิดไปล่วงหน้า แต่เค้ายังมีเป้าหมายที่น้อยกว่าที่ผมทำได้ แต่สิ่งที่ผมทำกลับกัน คือ ไม่ต้องเตรียมตัวเยอะ ไม่ต้องเตรียมเครื่องมือเยอะ ไม่ได้กดดันตัวเองในการทำยอด แต่อ่านเพราะรู้สึกว่าอยากอ่าน วันไหนที่ไม่อยากอ่าน ก็ฝืนอ่าน เพื่อให้ครบ 25 หน้าเท่านั้นพอ เพื่อให้สร้างนิสัยว่า ได้ทำมันทุกวัน ให้ติดเป็นนิสัย(ที่ดีๆ) ต่อไป

แต่หลายคนสงสัย ว่า 3 เดือน ผมอ่าน 14 เล่ม เท่ากับ ผมอ่านไป 2250 หน้าเองโดยประมาณ หรือตกเล่มละ 160 หน้าเท่านั้นเอง ความจริงคือ ทุกวันผมกำหนดแค่ว่า อ่านเท่าเรายังรู้สึกอยากอ่าน และไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไม่น้อยกว่า 25 หน้า ดังนั้นบางวันผมจะอ่านลื่นๆไป มากกว่า 25 หน้า บางครั้งก็ 50 บางครั้ง 100 หน้าในวันเดียวก็มี แล้วแต่ช่วงเวลาที่มี และตัวหนังสือว่าน่าติดตามแค่ไหนอย่างไร แต่ผมไม่ได้นับนะว่าทั้งหมด อ่านจบไปเท่าไร เพราะไม่รู้จะนับไปทำไม เวลาผมอ่านจบ ผมก็เขียนสรุปหนังสือใส่ diary ส่วนตัวเอาไว้ พร้อมถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ว่าอ่านจบแล้ว เท่านั้นเองครับ

ส่วนช่วงเวลา อันนี้สำคัญเลย ผมคิดว่าอันนี้ เป็นปัจจัยที่มีผลที่ทำให้สำเร็จหรือไม่สำเร็จได้มากที่สุดอันหนึ่งเลย ผมเลือกช่วงเวลาเช้า ผมเขียนเหตุผลอธิบายเอาไว้ในนี้ สิ่งที่เราจะได้รับ จากการตื่นเช้า แต่ว่า mission นั้นผมทำไม่สำเร็จนะครับ เพราะว่าการตื่น 04.30 ในชีวิตคนเมืองที่ทำงานบริษัท ทำได้ค่อนข้างยากทีเดียว ดังนั้นผมตื่นมาแล้วก็มานั่งอ่านเลยเป็นสิ่งแรก จนได้ตามเป้า หรือหมดสนุกในการอ่าน หรือต้องไปทำอย่างอื่นต่อ ก็หยุดอ่านแล้วไปทำกิจกรรมต่อไป

บางทีผมก็คิดว่า ผมเริ่มช้าไปหรือเปล่า แต่คิดไปก็ไม่ได้อะไรแล้ว อย่างน้อยก็ยังดีที่ได้เริ่มตอนนี้ และก็คิดว่าทำต่อไปนี่แหล่ะ และผมก็อยากให้ทุกคนได้รับรู้และเอาเทคนิคง่ายๆนี้ไปใช้ด้วย เพราะประโยชน์ของตัวคุณเองครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *