อ่านหนังสือวันละ 25 หน้า เดือนที่ 2 จบอีก 3 เล่ม

สร้างนิสัยการอ่าน ง่ายๆ

การทำบางสิ่งง่ายๆ แต่ต่อเนื่อง กับการอ่านหนังสือ แค่วันละ 25 หน้า เดือนที่ 2 นี้ อ่านจบ 3 เล่ม เพราะมีช่วงหยุดอ่านไป 9 วัน

นี่เป็นเดือนที่ 2 ที่ผมเริ่มทำสิ่งง่ายๆ ที่เราทำได้และทำทุกวันเพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิต เรื่องหนึ่ง ก็คือการอ่านหนังสือ แค่วันละ 25 หน้าเท่านั้น จากปกติที่ไม่ได้อ่านเลย อ่านเพิ่มเติม อ่านหนังสือแค่วันละ 25 หน้า เดือนเดียวจบไป 5 เล่ม! ตอนนี้ก็เป็นเดือนที่ 2 แล้ว สรุปว่าเดือนนี้ผมอ่านได้เพิ่มอีก 3 เล่ม เพราะว่าช่วงสงกรานต์ ที่รู้สึกขี้เกียจขึ้นมา แล้วก็หยุดไปเฉยๆเลย

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ก็คือ เมื่อเราเริ่มมีวันที่พลาด วันต่อมาเราจะไม่อยากทำมันอีก เหมือนกับว่าเราอยากพัก ไหนๆก็พลาดแล้ว ก็พลาดไป ดังนั้น กลายเป็นผมหยุดอ่านไป 9 วันรวด! จนคิดว่า ไม่ได้การแล้ว ถ้าเรายังหยุดอ่านอย่างนี้ต่อไป เราจะเลิกอ่านตลอดไปแน่นอน แล้วก็จะกลับไปสู่วังวนเหมือนเดิม ก็เลยฮึดขึ้นมา แล้วก็ทำอย่างจริงจังเลย จากวันที่เริ่มอ่านอีกครั้ง ก็อ่านมาได้ต่อเนื่องเช่นเดิม

ดังนั้น ใครที่กำลังสร้างนิสัยดีๆให้ตัวเอง อย่าเลิก อย่าหยุด อย่าพัก นั่นมันก็คือต้องมีวินัยนั่นเอง

การผลัดวันประกันพรุ่ง เอาไว้ให้สำหรับผู้แพ้เท่านั้น

ถ้าคิดว่ามันยาก แปลว่าเป้าคุณตั้งยากไป มันทำไม่ได้ทุกวัน เช่นตั้งใจอ่าน วันละ 100 หน้า นั่นคือ ครึ่งนึงของหนังสือบางเล่มเลย ถ้าเป็นคนที่มีเวลามากจริงอาจจะทำได้ แต่ได้ทุกวันหรือเปล่า? ดังนั้น คุณต้องกำหนด target ใหม่ ว่าวันละเท่าไรแน่ ที่รู้สึกว่าทำได้ง่ายๆ ทำได้แน่ๆ แต่ไม่ง่ายเกินไป เช่นการตั้งว่าอ่านหนังสือวันละ 5 หน้า แค่เดินไปหยิบหนังสือ ยังใช้เวลามากกว่านั้นเลย แล้วเรื่องทีอ่านก็ไม่ต่อเนื่อง ไม่ค่อยได้อะไรแน่นอนครับ

และตอนนี้ผมก็เพิ่มเติมอีกเรื่องคือ การฝึกภาษาอังกฤษเพิ่ม เนื่องจากภาษาอังกฤษของผมอยู่ในระดับที่สื่อสารได้ ฟังได้ พูดได้ แต่ไม่ได้ดีมาก คือเรียกว่า อยู่ในระดับเอาตัวรอดได้แหล่ะ แต่ไม่ fluent และนี่จะเป็นอุปสรรคอันหนึ่งในการเติบโตของผมอีก เพราะว่าผมอยู่ในระดับ management แล้ว เรื่องภาษาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ผมก็เลยสร้างนิสัยใหม่ด้วยการฝึกภาษาอังกฤษทุกวัน วันละ 20 นาที อันนี้้ต้องดูกันต่อไป ว่าจะเลิกมั้ยทำได้แค่ไหน แต่จะพยายามตั้งใจทำให้ดีที่สุด เพราะมันจะดีกับตัวเองจริงๆ

ถ้าคุณอยากเป็นคนหนึ่งที่พัฒนาตัวเอง ลองมองหาสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ แต่มั่นใจว่าทำได้ทุกวันมาทำดูอย่างต่อเนื่องนะครับ เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นอีกระดับหนึ่งเลย (อ้อ ขอให้สิ่งนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบของเป้าหมายคุณในอนาคตด้วยนะ บางคนตั้งใจทำบางเรื่องมากเลย แต่ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับตัวเองหรือ คนอื่นเลย อันนี้ก็ไม่ควร)

รีวิว หุ่นยนต์ดูดฝุ่น Xiaomi Mi Robot Vacuum

รีวิวหุ่นยนต์ดูดฝุ่น xiaomi

แกะกล่อง หุ่นยนต์ดูดฝุ่น Xiaomi Robot Vacuum มี Wifi ในตัว, ควบคุม/ดูการทำงาน ผ่าน App ได้, มีเสียงพูด (อังกฤษ,จีน), แอพภาษาอังกฤษ,หาซื้ออะไหล่เปลี่ยนได้,ตั้งเวลาทำงานล่วงหน้า, ตั้งเวลา sleep ทั้งหมด ในราคาหมื่นนิดๆ

สืบเนื่องมาจากหุ่นยนต์ดูดฝุ่นตัวเก่า ยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้ ของจีน จี๊น จีน อายุก็สองปีได้แล้ว พังลงจากภาคจ่ายไฟไหม้ (ดีว่าไฟยังไม่ลุก เพราะว่าได้กลิ่นไหม้ก่อน) ก็เลยตัดสินใจซื้อตัวใหม่ที่ดีๆเลยดีกว่า แต่… ยี่ห้อดีๆ ดังๆ ราคาแพงเวอร์ แพงอะไรได้ขนาดนั้น ตัวละ 2หมื่น 3หมื่นงี้ คือยอมรับว่ามันฉลาดจริง แต่ก็แพงเกินไป อีกทั้ง ผมเองสาวก Xiaomi อยู่แล้ว ของเค้าดี ใช้มือถือมาตั้งแต่ Mi2, Mi2S, Mi4,MiPad2, Mi4S, Redmi 4 Prime ยอมรับว่าของเค้าดีจริงๆ ที่ผม list มานี่คือ ยังไม่พังสักเครื่องนึง ทุกวันนี้ทำงานได้ดีทุกเครื่องเว้นเครื่องแรกๆ มันจะเก่าหน่อยก็ช้าบ้างตามอายุ แต่ยังทำงานได้อยู่นะ (ตั้งแต่ปี 2012 นะ ทำใจนิดนึง)

ก็เลยเป็นที่มาว่า ซื้อเครื่องดูดฝุ่น Xiaomi มันซะเลย หลังจากที่หาข้อมูลเล็กน้อย วันสองวันก็ตัดสินใจซื้อเลย แต่ซื้อจากเว็บไทยนะครับ เพราะว่าไม่อยากรอของ อีกอย่าง เว็บไทยขายถูกกว่าซื้อจากจีินอีก งง เลย (เข้าใจว่าเค้าซื้อมาเยอะ และ ship มาทางเรือ เลยทำราคาได้ถูกกว่า)

กล่องหุ่นยนต์ดูดฝุ่น xiaomi

ของมาถึงแล้ว แกะกล่องเลย

เปิดกล่องเครื่องดูดฝุ่น xiaomi

เจอซองกระดาษเล็กๆสีขาว ข้างในคือคู่มือครับ คู่มือเครื่องดูดฝุ่น xiaomi

เปิดโฟมขึ้นมาอีกเจอเครื่องแล้วววว

เครื่องดูดฝุ่น xiaomi

หน้าตาเรียบหรู ดูดีมาก ทุกอย่างทำมาอย่างเรียบง่าย สบายตา ขาวสะอาดเลย ทีนี้รื้อออกมาดูทั้งหมดว่าให้อะไรเรามาบ้าง

รีวิวเครื่องดูดฝุ่น xiaomi

มีแค่นี้จริงๆครับ เรียบง่ายมากๆ มากจริงๆ เราก็ทำการเปิดฝาบนขึ้นมา แล้วแกะกระดาษที่ปิดส่วนต่างๆออกทั้งด้านบนด้านล่างของเครื่องต่างๆ ให้หมด เสียบปลั้กเข้าด้านหลังแท่นชาร์ท (ทั้งหมดที่พูดมานี่คือ ดูรูปในคู่มือเอาได้เลย)

จากนั้น มันพร้อมใช้เลยนะครับ กดปุ่ม power ค้างเอาไว้ให้เครื่องติด แล้วกดอีกทีมันก็เริ่มทำงานเลย

แต่ความเท่ห์มันยังไม่จบครับ เราต้องไปโหลด App มือถือชื่อว่า Mi Home มาแล้วทำการ add device เข้าไป (ต้องมี mi account ก่อนนะครับถ้ายังไม่มีก็สมัครได้ฟรีครับ) โดยมันจะเจอเลยทันที แล้วเราจะเชื่อมได้ ถ้าเชื่อมไม่ได้ให้ดูว่าไฟแสดงสัญญาณ wifi ติดกระพริบหรือเปล่า ถ้าไม่เจอ ให้ลอง reset wifi ด้วยการกดปุ่ม home กับ power ของเครื่องพร้อมกัน ประมาณ 3 วินาทีไฟ wifi จะดับแล้วกลับมากระพริบใหม่ ลองอีกที

ของผม กว่าจะเชื่อมได้ ก็เกือบครึ่งชั่วโมง เพราะทีแรก reset wifi ไม่เป็นครับ พอต่อแล้ว fail ตลอดเลย แต่พอติดเท่านั้นแหล่ะ จะร้องว้าวเลย เพราะว่าดูการทำงานของมันได้เลย อย่างของผมเป็นแบบนี้

แผนที่จาก xiaomi

ที่เห็นนั่นคือผังในบ้านผมเองครับ มันจะใช้การยิงเลเซอร์ เพื่อวัดวัตถุต่างๆที่อยู่รอบตัวมัน แล้วก็เอามาทำเป็นแผนที่เลย โดยไม่ต้องเดินไปถึงก็ได้ เช่นด้านซ้ายมือสุดนั้น จะเห็นว่ามันมองทะลุต่อออกไปได้อีก นั่นคือส่วนห้องครัวของที่บ้านผมครับ แต่ผมปิดประตูมุ้งลวดเอาไว้ มันก็ยังมองทะลุออกไปได้ แต่เดินไปไม่ได้นะครับติดประตู ส่วนเส้นขาวๆ คือเส้นทางการเดินของมันครับ จะเห็นว่าการเดินของมันจะไม่มั่วเหมือนหุ่นยนต์จีนทั่วๆไป มันจะเดินกลับไปมา พร้อมขยับไปเรื่อยๆ เพื่อให้มั่นใจว่าสะอาดและไม่เสียเวลาเดินซ้ำเส้นทางเดิม (จะมีบางส่วนที่เดินซ้ำไปมา เพราะเดินไปตั้งหลักทำความสะอาดแต่ละ zone ครับ) โดยการทำงานของมัน จะเน้นทำความสะอาดให้ทั่วบริเวณโดยใช้เวลาสั้นที่สุด แล้วกลับไปแท่นด้วยตัวเองเพื่อไปชาร์ท

เปิดฝาบน เครื่องดูดฝุ่น xiaomi

ความฮาเล็กๆของมันก็คือตอนจะเข้าชาร์ทมันจะพยายามถอยตูดบิดไปบิดมา เพื่อเอาตูดไปจิ้มแท่นชาร์ทให้ได้นี่แหล่ะ ก็น่ารักดี

สำหรับตัวเครื่องก็ทำความสะอาดง่ายครับ เปิดฝาบน เอากล่องเก็บฝุ่นไปเคาะออก , หงายเครื่องขึ้นมาถอดแปรงปัดไปทำความสะอาด มีแค่สองอันนี้แหล่ะ จบครับ

ส่วนเจ๋งๆ ของมันก็คือ เราควบคุมมันได้ ว่าอยากให้เดินไปทางไหนยังไง ตั้งเวลาให้มันทำงานอัตโนมัติ ก็ได้ เช่น ก่อนเรากลับบ้าน เพราะเรารู้แล้ว ว่ามันเคยใช้เวลาเท่าไร โดยดูจากประวัติได้ ทุกครั้งที่มันทำงานมันจะบันทึกเป็นประวัติของแต่ละครั้งเอาไว้ทั้งหมด ว่าทำสำเร็จหรือไม่ ห้องขนาดเท่าไร ใช้เวลาทำนานแค่ไหน

ส่วนเรื่องเส้นทางการเดิน ก็ฉลาดอีกเช่นกัน เพราะที่ตัวเองมี sensor อยู่เยอะพอประมาณ อีกทั้งยังมีการยิงเลเซอร์เพื่อใช้วัดวัตถุอีก ทำให้ไม่เดินชนเละเทะ ชนแหลก เหมือนหุ่นยนต์หลายตัวในราคาเท่าๆกัน ดังนั้น ขาเก้าอี้ ขาโต๊ะไม่ต้องห่วงเลยมันฉลาดพอแน่นอน แต่มันก็พยายามจะไปเลียบๆเคียงๆทำความสะอาดอยู่นะครับ คือเข้าใกล้ให้ได้มากที่สุดนั่นแหล่ะ

เรื่องความสะอาด สำคัญเลย เราซื้อมาเพราะว่าเราอยากได้ความสะอาดมันนี่นา ต้องบอกว่า พื้นน่ะสะอาดเนี้ยบเลย โดยเฉพาะถ้าเป็นคนที่ชอบพื้นบ้านสะอาดแบบเดินแล้วไม่เหยียบโดนเศษอะไรที่พื้นเลยนี่จะถูกใจแน่นอน ที่มากกว่านั้นก็คือ บางอย่างที่มันไปเก็บๆมานี่แหล่ะ คือถ้าเรามองพื้นบ้านด้วยตาเปล่า เราก็มองว่ามันสะอาดดี แต่ลองสั่งให้มันไปทำความสะอาดจบรอบบ้านสักรอบนึงดูสิครับ จะงงว่า นี่บ้านเราสกปรกได้ขนาดนี้เลยหรือ โดยเฉพาะพวกที่เหมือนจะเป็นนุ่นเนี่ย มาเต็ม แต่บอกเลยว่า ยังไงก็เทียบเท่ากับกวาด+ถูบ้านไม่ได้แน่นอน แต่ก็ถือได้ว่า สะอาดมากกว่าทิ้งเอาไว้แล้วกวาดถูอาทิตย์ละครั้งแน่ๆ แบบเอาเท้าลูบๆที่พื้นดูเราจะไม่โดนเศษทรายอะไรเลย ดังนั้นชั่งใจดูว่าเราอยากได้พื้นสะอาดประมาณนี้โดยไม่กวาดหรือเปล่า ถ้าอยากได้ ทรัพย์ถึง ก็จัดไปครับ

แต่ก็สะอาดแค่พื้นนะครับ จะให้บนโต๊ะบนชั้นสะอาดด้วยนั่นก็ไม่ใช่ละ

เสียงพูด เดิมๆ จะเป็นจีนนะครับ แต่ว่าจาก App เราสั่งโหลดเสียงภาษาอังกฤษใส่ให้มันได้ครับ เราจะได้ฟังมันรู้เรื่องว่ามันกำลังจะทำอะไรหรือเป็นอย่างไรอยู่ แต่เราต้อง update firmware ให้มันก่อนนะ ถึงจะเปลี่ยนเสียงจากแอพได้ การ update firmware ก็จาก app เหมือนกัน ง่ายๆ นั่งรออย่างเดียว

แม้ว่าหน้าตาจะดูไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อได้ลองใช้แล้วจะรู้ว่ามันเจ๋งมากครับ ส่วนเรื่องราคาก็อย่างที่บอก เทียบกับเครื่องราคาแพงกว่าอีกเท่าตัวได้สบายเลย (ต่างประเทศเค้าเอามันไปเทียบ iRobot Roomba 980 ซึ่งราคาไทยคือ 36K บาทนะครับ!) ส่วน xiaomi ตัวนี้ผมซื้อราคา 12.9K บาทครับ ถูกกว่ากันเกือบ 3 เท่า พังแล้วซื้อใหม่ยังคุ้มน่ะ

ส่วนการดูแลรักษา ก็เอาฝุ่นไปทิ้งบ่อยๆ ทำความสะอาดมันบ่อยๆ เสียบที่ชาร์ททิ้งเอาไว้ (ถ้าไม่ใช่นาน ก็เอาออกจากแท่น กด power ค้างเพื่อปิดเครื่อง) เท่านั้นพอครับที่เหลือเราดูผ่าน app เอา ว่าอะไรเสื่อม ก็ซื้อมาเปลี่ยน (มีสามอย่าง filter, แปรงปัดด้านข้าง,แปรงปัดด้านใต้)

ขอให้มีความสุขกับพื้นสะอาดครับ

กู้ซื้อบ้านมือสอง บ้านเก่า เริ่มจากที่ไม่รู้อะไรเลย

กู้ซื้อบ้าน

ประสบการณ์ตรง ที่กู้ซื้อบ้านหลังแรกก็เป็นบ้านมือสอง จากที่ไม่รู้อะไรเลย ขั้นตอนจะยุ่งกว่า บ้านมือหนึ่งหน่อย เพราะไม่มีคนจากโครงการที่ช่วยบริการเรา แต่ก็ผ่านมาได้ ด้วยเวลาอันสั้น พร้อมทั้งเทคนิคต่างๆ ที่จะได้ไม่พลาดอย่างผม

มองหาบ้านที่ถูกใจ

ขั้นตอนนี้ ผมให้ความยากและเสียเวลามากที่สุด เมื่อเทียบกับทุกขั้นตอนและกระบวนการ เพราะการที่จะหาบ้านให้ถูกใจเรา มันเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากจริงๆ แต่ผมแนะนำให้ทำ check list ออกมา ว่า บ้านที่เรามองหา “ต้องมี” และ “ควรมี” อะไรบ้าง เช่น ต้องมีสองชั้นหรือสามชั้นเท่านั้น, ต้องเป็น town house town home บ้านเดี่ยว บ้านแฝดเท่านั้น, ต้องมีอย่างน้อย 2 ห้องนอนเท่านั้น, ต้องมีที่จอดรถ 1 คัน, ควรมีสวนหย่อม หรือพื้นที่ ปลูกแปลงผักไม่น้อยกว่า 2 ตารางเมตร เป็นต้น หลังจากนั้น ก็เริ่มต้นกระบวนการหา ขั้นตอนการหา แนะนำให้เริ่มต้นจากหาใน internet เป็นราคาคร่าวๆ+ย่านที่สนใจ อย่าหาบ้านที่ถูกใจจาก internet เพราะว่าตัวเลือกมีน้อย เราจะเสียเวลามากเกินไปกับมัน โดยที่ไม่ได้ตัวเลือกที่ดีเลย ผมเสียเวลามาเป็นสัปดาห์ แต่กลับไม่ได้อะไรมากเลย ไม่คุ้ม แนะนำให้ดู internet เพื่อดูแผนที่ ว่าเราอยากอยู่ย่านไหน และขับรถ หรือไปจ้างวินแถวนั้นให้วนพาเราดูบ้านดีกว่า ส่วนตัวผมเอง ขี่มอเตอร์ไซค์วนหาเองครับ เสียเวลาไปหลายวันอยู่

สำหรับการเข้าไปดูบ้าน แนะนำให้ดูที่โครงสร้างหลักๆให้ดี บ้านเก่า รอยแตกร้าวเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องไม่กระทบโครงสร้างหลัก ถ้าดูไม่เป็นให้เพื่อนที่เป็นวิศวโยธาช่วยดูดีที่สุด ผมได้บ้านเก่า 33 ปี แต่แทบไม่มีรอยร้าว หรือแตกเลย หรือรอยที่มี ผมก็มองเห็น และรู้ว่าเกิดจากอะไร และรู้ว่าซ่อมได้ก็เลยไม่มีปัญหา

คุยราคาให้จบ

เมื่อได้บ้านที่โดนใจแล้ว คุยราคาให้จบเลย ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นเจ้าของบ้านเอง หรือนายหน้า ก็รีบคุยให้จบ เพราะเราจะต้องรู้ยอดที่จะไปกู้ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆด้วย ตรงนี้ มีข้อระวังก็คือ ต้องคุยให้ละเอียดว่าค่าใช้จ่ายวันโอนทั้งหมด ใครจะเป็นคนออก ประกอบด้วย ค่าโอน 2% ของราคาซื้อขาย, ค่าอากร 0.5% ของราคาซื้อขาย ส่วนภาษี และ รายได้ จากกรณีธุรกิจเฉพาะ แจ้งเลยว่าคนขายต้องออกอยู่แล้วนะ (ถ้ามี) และส่วนที่เราต้องออกแน่ๆ ก็คือ ค่าจดจำนอง, ค่าประเมินอสังหา, ค่าอากร ตรงนี้ให้เราเตรียมเงินเอาไว้ด้วย ของผม กู้ 3.1 ล้านบาท เสียค่าใช้จ่ายจุดนี้ประมาณ 42,000 บาท ให้เตรียมเอาไว้จ่ายวันที่โอน

ทำสัญญาจะซื้อจะขาย

เราต้องทำสัญญาจะซื้อจะขาย เพื่อให้มั่นใจว่า เค้าจะขายบ้านนี้ให้เรา และให้มั่นใจว่า เราจะซื้อบ้านนี้แน่นอนนะ จุดนี้ ปกติจะมีการวางเงินมัดจำกันเอาไว้ด้วย จำนวนตามที่ได้ตกลงกัน ซึ่งเงินมัดจำจะต้องเขียนลงในเอกสารสัญญาจะซื้อจะขายอย่างชัดเจน ปกติ ถ้าเรากระทำผ่านนายหน้าเค้าจะรู้ว่าต้องเขียนอะไรอย่างไร และเตรียมเอกสารมาให้พร้อมเลย เราเตรียมแค่สำเนาบัตร กับ บัตรตัวจริงไปก็พอ ตรงนี้ แนะนำให้สังเกตุว่า ถ้าใครผิดสัญญา เงินจะได้คืนหรือไม่ , สัญญาที่ทำเอาไว้ lock ช่วงเวลานานเท่าไร ในฝั่งคนซื้อควรได้นานที่สุด จะได้เปรียบเผื่อขั้นตอนบางขั้นตอนล่าช้าจะได้ไม่ผิดสัญญา แต่โดยปกติเค้าจะเขียน 30-90 วันกัน ที่สำคัญคือ คนมาทำสัญญา ต้องเป็นคนเดียวกับที่ระบุในโฉนด ถ้าไม่ใช่คนเดียวกัน ต้องมีหนังสือมอบอำนาจมา ของผมมีปัญหาจุดนี้ เพราะเค้าให้ลูกมาทำสัญญา แต่ต่อมากู้ไม่ผ่าน เพราะลูก ไม่ใช่เจ้าของโฉนดตัวจริง ต้องวุ่นวายทำเอกสารมอบอำนาจเพิ่มเติมอีก

และที่สำคัญอีกอย่าง ในหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย ต้องระบุให้ชัด ว่าค่าใช้จ่ายวันโอนใครเป็นคนออก (รายละเอียดอยู่ข้อข้างบน)

เตรียมเอกสารยื่นกู้

เอกสารที่ว่า คือ หนังสือรับรองเงินเดือน, statement บัญชีเงินฝากที่ใช้รับเงินเดือน ย้อนหลัง 6 เดือน (ไปขอจากธนาคาร ของผม ธนาคารกรุงเทพ มีค่าใช้จ่าย 100 บาท), สำเนา slip เงินเดือน ย้อนหลัง 6 เดือน, สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, สำเนาหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย หรือถามเอาจากธนาคารเลย เค้าจะมี list อยู่แล้ว

แนะนำให้ทำเอาไว้ ตามจำนวนธนาคารที่ต้องการยื่นกู้ และควรยื่นพร้อมกันหลายๆธนาคารทีเดียว อย่ายื่นธนาคารเดียว เพราะเราจะไม่มีข้อต่อรองอะไรเลย ส่วนนี้ยกเว้น statement บัญชีเงินฝาก ขอชุดเดียวก็พอ แล้วทำสำเนาเอา

ส่วนเอกสารที่ต้องขอจากคนขาย ก็คือ สำเนาหน้าโฉนด สำเนาหลังโฉนด สำเนาทะเบียนบ้าน(ถ้ามีก็จะดีกว่า)

จากนั้น เข้าไปคุยกันธนาคารเลย เลือกสาขาที่เราสะดวก หรือว่าโทรเข้าส่วนกลาง ของผมมีเบอร์ sale UOB ที่ส่วนกลาง ก็เลยคุยกันตรง ได้เรทดีกว่าสาขา และทำงานรวดเร็วกว่าด้วย

ขั้นตอนนี้ ใช้เวลามากน้อยไม่เท่ากัน แต่โดยปกติ ประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากยื่นเอกสาร ก็จะรู้ผลอนุมัติแล้ว แล้วหลังจากนั้น เค้าจะนัดวันโอนเลย ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วล่ะ ว่าจะรอต่อรอง หรือเอาเลย ช่วงปี 2559 เป็นช่วงปีที่ดอกเบี้ยต่ำ ดังนั้นเราต้องเลือกธนาคารที่ให้ดอกต่ำ และ คงที่ดอกเบี้ยนานๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ ในส่วนนี้ ปกติแนะนำให้ดูรวมทั้ง 3 ปีเลย เช่น เค้า fix ดอกมาให้ 2 ปี เราก็เอาของปีที่ 3 มาดูด้วย ว่าเท่าไร แล้วคิดรวมกัน หลังจากนั้น ก็ให้มาดูต่อ ตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไปว่าดอกเป็นอย่างไร เน้น ที่ 3 ปีแรก นะครับ เหตุผลเดี๋ยวอธิบายภายหลัง เอาเป็นว่า เฉลี่ย 3 ปีแรกให้ถูกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เอาอันนั้น

ขั้นตอนนี้ ให้กู้แบบ safe ตัวเอง ก็คือ ทำผ่อนนานที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ก็คือ ผ่อน 30 ปีไปเลย ถ้าอายุไม่เกิน หลักการคิดคือ อายุตัวเอง+ระยะเวลาผ่อน ต้องไม่เกิน 65 ครับ ของผม สบายผ่อนไป 30 ปีเต็มๆ

ส่วนนี้ บางธนาคารเค้าจะให้เราทำประกันเพิ่ม เพื่อให้ดอกต่ำ เราก็ต้องเอาค่าเบี้ยประกันมาคิดรวมด้วยนะครับ ของผม กู้จริง 2.88 ล้าน แต่ต้องจ่ายเบี้ยประกันอีก 2.75แสน (แต่เค้าเอาเข้าไปคิดเป็นยอดกู้ให้เพิ่มไปอีก) โดยตรงนี้ แนะนำให้ต่อรองธนาคารว่า ประกันคุ้มครองครึ่งหนึ่งของอายุสัญญาเงินกู้ได้มั้ย (แต่ควรมากกว่า 10 ปีนะ) เพื่อให้เบี้ยลดลงได้อีก แต่ก็ควรทำไว้ เผื่อเหตุไม่คาดฝัน คนข้างหลังก็จะได้บ้านไป (รายละเอียดเงื่อนไขให้ศึกษาให้ดีๆ ถามให้ละเอียดว่ากรณีไหนได้เท่าไรบ้าง)

นัดวันโอน

เมื่อเราเลือกธนาคารที่ถูกใจแล้ว ก็เป็นการนัดวันโอน โดยทุกฝ่ายต้องว่างตรงกัน คือ เจ้าของโฉนดคนปัจจุบัน (หรือนัดผ่านนายหน้าที่ขายก็ได้เค้ารู้อยู่ว่าต้องทำอย่างไร เตรียมอะไรต่อ) ธนาคารเรา และที่สำคัญตัวเรา
แนะนำให้นัดเป็นช่วงเช้าเพราะจะใช้เวลาไม่นานเท่าช่วงบ่าย (ไปแต่เช้า เสร็จไม่เกิน 12.30น. โดยประมาณ ถ้าไม่มีเรื่องติดขัดร้ายแรง)

จุดนี้ที่ต้องเตรียมคือ เงิน อย่างที่ข้อบนๆได้กล่าวเอาไว้แล้ว ขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายใครเป็นคนออกเท่าไร ก็เตรียมไป แนะนำให้ปรึกษา 2 คน คือนายหน้าที่ขายบ้าน กับ ธนาคารเรา เค้าจะบอกได้ค่อนข้างเป๊ะ ว่าเราต้องเตรียมไปเท่าไร

เมื่อจบที่จุดนี้ บ้านก็จะเป็นของเรา แว้บนึง แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นของธนาคารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (คนขายโอนบ้านให้เรา จากนั้นเราจะบันทึกการจดจำนอง กับธนาคารต่อทันที) แต่ก็ถือว่าเราก็เป็นเจ้าของบ้านโดยสมบูรณ์แล้วล่ะ

ปัญหาจุกจิกรายทาง

แต่ละคนจะเจอปัญหาที่ไม่เหมือนกัน แตกต่างกันไป แต่ผมให้แนวทางเอาไว้คร่าวๆ พร้อมกับการรับมือนะครับ

  • คนทำสัญญาจะซื้อจะขาย กับเจ้าของโฉนดไม่ตรงกัน – ตรงนี้แก้ได้ ให้เจ้าของโฉนดทำหนังสือมอบอำนาจเพิ่มเติม ให้คนที่ทำสัญญาจะซื้อจะขาย ดำเนินการทำสัญญาจะซื้อจะขาย บ้านนี้ได้ครับ
  • บ้านเลขที่เปลี่ยน (เคยเปลี่ยนหรือถูกเปลี่ยน) – ให้เตรียมหนังสือเปลี่ยนเลขที่บ้าน หรือ ทะเบียนบ้านที่มีตราประทับว่า เปลี่ยนเลขที่บ้านมายืนยันที่กรมที่ดินด้วย แนะนำให้คนขายเอาเอกสารที่เกี่ยวกับบ้านนี้มาให้หมดเท่าที่มี (บางหลังเจ้าของก็ลืมว่าเปลี่ยน แต่กรมที่ดินเค้าสืบประวัติดูได้ครับ ถ้าพบว่าไม่ตรงกัน เค้าจะไม่ยอมให้เราดำเนินการต่อ)
  • ประเภทอสังหาริมทรัพย์ ไม่ตรงกับหลักฐานของราชการ – อันนี้มาเจอวันโอน ตอนกำลังจะทำโอน ผมยื่นกู้ด้วย ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านแฝด แต่หลักฐานราชการระบุเป็น ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านตึก 2 ชั้น อันนี้ก็มีประเด็นวันโอนทันทีเลย แต่สุดท้ายธนาคารยอมปล่อยครับ ไม่งั้นจะเสียเวลารอบวงต้องมากันใหม่อีกรอบเลย อันนี้ ถ้าจะให้ดี ให้นายหน้า คือ คนขายเช็คให้ดีก่อน ว่า ในหลักฐานราชการเค้าระบุไว้ว่าเป็นอะไร (อันนี้ไม่รู้ว่าเค้าเรียกว่าอะไร)

ของผมทั้งกระบวนการ รับตั้งแต่เริ่มส่งเอกสาร ถึงวันโอน 41 วันครับ รวมที่เสียเวลา 1 อาทิตย์ เพราะว่า คนทำสัญญา ชื่อไม่ตรงกับเจ้าของโฉนด จึงต้องขอหนังสือมอบอำนาจเพิ่มเติมอีก

และอีกข้อที่ติดค้างเอาไว้ คือทำไมต้องดูดอกเบี้ยรวม 3 ปี เพราะว่า เราจะต้องผ่อนกับธนาคารนี้โดยไม่ควรหนีไปธนาคารอื่นเป็นอย่างน้อย 3 ปี หากเราจะเปลี่ยนไปผ่อนกับธนาคารอื่น ในเวลา 3 ปี เราจะโดนค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกหลายส่วนเลยล่ะ (ส่วนนี้มีในสัญญาเงินกู้ชัดเจนนะครับ ว่าต้องจ่ายค่าปรับอะไร และเท่าไรบ้าง) ดังนั้น ยังไงดอก 3 ปี เราก็ต้องจ่ายแน่นอนอยู่แล้วล่ะ แล้วหลังจากนั้น เราควรทำเรื่องเปลี่ยนธนาคาร (เรียกว่า re finance) ขอแยกเป็นอีกเรื่องไป เพื่อให้เราได้ไปผ่อนกับธนาคารใหม่ในดอกที่ถูกกว่า ตรงนี้แนะนำว่า คุณต้องเป็นลูกค้าชั้นดีด้วยนะครับ เวลากู้ธนาคารใหม่จะได้ง่ายๆ

จบตรงนี้ ก็ขอให้มีความสุขกับบ้านใหม่นะครับ แต่ของผม ต้องปรับปรุงบ้านก่อนครับ รับโอนมาตั้งแต่ธันวา จนตอนนี้ ยังไม่ได้เริ่มปรับปรุงเลยครับ (อยู่ขั้นตอนออกแบบ)

เมื่อ business team เข้าใจ business direction งูๆปลาๆ งานออกมาไม่ปัง แต่พัง

business direction

เจ็บจี้ด เมื่อ Business team ถูกแทงใจดำ “ถ้าคุณคิดว่า Business direction คือการ shopping feature จากเว็บต่างๆที่ทำไว้ดี นั่นไม่ใช่ Business direction อย่างที่คุณเข้าใจ” เป็นคำที่ CTO พูดออกมาเมื่อตอนที่ผมได้ประชุม update รายละเอียดงานด้วยกัน อันเนื่องมาจากจะมีการเปลี่ยนแนวทางการทำธุรกิจใหม่ในช่วงเวลานี้

ไม่ผิดปกติ ถ้า Business team จะเปลี่ยน direction ของธุรกิจ แต่การที่จะทำ Project ใหญ่ๆสักงานหนึ่งให้ออกมาดี ที่จะต้องใช้คน เงิน เวลา อย่างมากแล้วล่ะก็ เค้าก็จำเป็นที่จะต้องสร้าง Business direction ขึ้นมาอย่างละเอียดด้วย แต่จากยุคที่เทคโนโลยีเชื่อมต่อกันเร็ว ทำให้การเข้าถึงตัวอย่างต่างๆทำได้ง่าย business team ก็เลยเล่นง่ายด้วยการสร้าง business direction มาจากการลอกสิ่งที่ดีๆมาจากต้นฉบับที่เค้าทำเอาไว้ดี เหมือนกับถ้าเราอยากทำเว็บขายสินค้า เราก็เปิดมาเลย amazon, lazada และเว็บอื่นๆจากประเทศต่างๆที่เค้าทำเอาไว้ได้ดี แล้วก็จิ้มว่า อันนี้ของเว็บนี้ดี อันนั้น ของเว็บนู้นดี ดี ดี ดี ดี ดี เลือกออกมา สมมุติได้มาประมาณ 100 อย่าง ครบทุก feature ของทั้งเว็บขายสินค้าที่อยากได้ แล้วก็ส่งให้ทีม IT นี่ไง คือสิ่งที่ฉันอยากได้ทั้งหมด

CTO ผู้อ่านเกมขาดก็ได้แต่พูดสั้นๆว่า สิ่งที่คุณเห็น มันเป็นเพียงแค่สิ่งที่ดี (ณ ตอนนี้) สิ่งที่อยากได้ในตอนนี้ สมมุติว่าเราเอามาทำแล้ว อีก 3 เดือนมัน out date ล่ะ คุณเปลี่ยนใจไม่เอาแล้ว เค้ามีสิ่งใหม่ที่ดีกว่าล่ะ เราก็ต้องเปลี่ยนใช่หรือไม่ ทั้งๆที่งานยังทำไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ แล้วมันจะถึงเป้าหมายคุณได้อย่างไร ในเมื่อคุณเอาแต่เปลี่ยนมันไปมาอยู่เรื่อยไป ทั้งหมดมันไม่ได้เรียกว่า business direction หรอกนะ business direction คือสิ่งที่เราฉายภาพไปในอนาคต ว่าเป็นสิ่งที่เราต้องไปให้ถึง จุดนั้นมันจะต้องประกอบด้วยอะไร (ไม่ได้หมายถึง feature แต่หมายถึงสิ่งต่างๆที่นิยามได้ เช่น เราต้องมีฐานลูกค้า x คน เราได้สร้างรายได้ x บาทต่อเดือน) เราจะวัดผลมันได้อย่างไร (ถ้าระบุเงื่อนไขการคำนวนเอาไว้ด้วยก็ดี) แล้วภายในระยะเวลาเท่าไร นี่ต่างหากคือ business direction ที่แท้จริง ส่วนเรื่องเครื่องมือ ระบบ feature มันเป็นองค์ประกอบรอง ซึ่ง business ไม่ต้องคิดก็ได้ เป็นหน้าที่ของ Technical team ที่เอามาทำความเข้าใจแล้วหาเครื่องมืออะไรเพื่อตอบโจทย์ให้มากที่สุด แล้วหลังจากนั้นก็ทำงานร่วมกัน ในการพัฒนาเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

นั่นต่างหากคือสิ่งที่เรียกว่า ‘Business Direction’ ถ้าหากหลงทางอยู่ ก็ขอให้ทำความเข้าใจมันใหม่ด้วย

อ่านหนังสือแค่วันละ 25 หน้า เดือนเดียวจบไป 5 เล่ม!

read a book everyday make a big thing

หลายคนรู้อยู่แล้ว การอ่านหนังสือจะช่วยพัฒนาความรู้ของตัวเองได้มาก แต่หลายคนก็อ่านแล้วไม่เคยจบสักที หรือ ตั้งใจจะอ่านให้ได้เดือนละหนึ่งเล่ม สุดท้าย ก็ทำได้แป้บๆ ก็เลิก ผมมีวิธีที่เรียบง่ายมากๆ มากจริงๆ ที่เราทำมันได้ง่ายๆ สุดท้ายมาสร้างผลที่ยิ่งใหญ่ให้เรามาก ผมลองทำเอง ก็อ่านจบ 5 เล่มในเดือนเดียวเลย อ่านต่อ… “อ่านหนังสือแค่วันละ 25 หน้า เดือนเดียวจบไป 5 เล่ม!”

Scrum primer ภาษาไทย – Product Backlog Refinement และ Sprint Review และ Sprint Retrospective

scrumprimer

แปลเนื้อหามาจาก scrumprimer.org เพื่อให้คนไทยอ่านทำความเข้าใจเรื่อง scrum ที่เป็น framework หนึ่งของ agile ได้ง่าย และเร็วขึ้น อ่านต่อ… “Scrum primer ภาษาไทย – Product Backlog Refinement และ Sprint Review และ Sprint Retrospective”

Scrum primer ภาษาไทย – sprint planning และ daily scrum

scrumprimer

แปลเนื้อหามาจาก scrumprimer.org เพื่อให้คนไทยอ่านทำความเข้าใจเรื่อง scrum ที่เป็น framework หนึ่งของ agile ได้ง่าย และเร็วขึ้น อ่านต่อ… “Scrum primer ภาษาไทย – sprint planning และ daily scrum”