อ่านหนังสือวันละ 25 หน้า เดือนที่ 2 จบอีก 3 เล่ม

สร้างนิสัยการอ่าน ง่ายๆ

การทำบางสิ่งง่ายๆ แต่ต่อเนื่อง กับการอ่านหนังสือ แค่วันละ 25 หน้า เดือนที่ 2 นี้ อ่านจบ 3 เล่ม เพราะมีช่วงหยุดอ่านไป 9 วัน

นี่เป็นเดือนที่ 2 ที่ผมเริ่มทำสิ่งง่ายๆ ที่เราทำได้และทำทุกวันเพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิต เรื่องหนึ่ง ก็คือการอ่านหนังสือ แค่วันละ 25 หน้าเท่านั้น จากปกติที่ไม่ได้อ่านเลย อ่านเพิ่มเติม อ่านหนังสือแค่วันละ 25 หน้า เดือนเดียวจบไป 5 เล่ม! ตอนนี้ก็เป็นเดือนที่ 2 แล้ว สรุปว่าเดือนนี้ผมอ่านได้เพิ่มอีก 3 เล่ม เพราะว่าช่วงสงกรานต์ ที่รู้สึกขี้เกียจขึ้นมา แล้วก็หยุดไปเฉยๆเลย

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ก็คือ เมื่อเราเริ่มมีวันที่พลาด วันต่อมาเราจะไม่อยากทำมันอีก เหมือนกับว่าเราอยากพัก ไหนๆก็พลาดแล้ว ก็พลาดไป ดังนั้น กลายเป็นผมหยุดอ่านไป 9 วันรวด! จนคิดว่า ไม่ได้การแล้ว ถ้าเรายังหยุดอ่านอย่างนี้ต่อไป เราจะเลิกอ่านตลอดไปแน่นอน แล้วก็จะกลับไปสู่วังวนเหมือนเดิม ก็เลยฮึดขึ้นมา แล้วก็ทำอย่างจริงจังเลย จากวันที่เริ่มอ่านอีกครั้ง ก็อ่านมาได้ต่อเนื่องเช่นเดิม

ดังนั้น ใครที่กำลังสร้างนิสัยดีๆให้ตัวเอง อย่าเลิก อย่าหยุด อย่าพัก นั่นมันก็คือต้องมีวินัยนั่นเอง

การผลัดวันประกันพรุ่ง เอาไว้ให้สำหรับผู้แพ้เท่านั้น

ถ้าคิดว่ามันยาก แปลว่าเป้าคุณตั้งยากไป มันทำไม่ได้ทุกวัน เช่นตั้งใจอ่าน วันละ 100 หน้า นั่นคือ ครึ่งนึงของหนังสือบางเล่มเลย ถ้าเป็นคนที่มีเวลามากจริงอาจจะทำได้ แต่ได้ทุกวันหรือเปล่า? ดังนั้น คุณต้องกำหนด target ใหม่ ว่าวันละเท่าไรแน่ ที่รู้สึกว่าทำได้ง่ายๆ ทำได้แน่ๆ แต่ไม่ง่ายเกินไป เช่นการตั้งว่าอ่านหนังสือวันละ 5 หน้า แค่เดินไปหยิบหนังสือ ยังใช้เวลามากกว่านั้นเลย แล้วเรื่องทีอ่านก็ไม่ต่อเนื่อง ไม่ค่อยได้อะไรแน่นอนครับ

และตอนนี้ผมก็เพิ่มเติมอีกเรื่องคือ การฝึกภาษาอังกฤษเพิ่ม เนื่องจากภาษาอังกฤษของผมอยู่ในระดับที่สื่อสารได้ ฟังได้ พูดได้ แต่ไม่ได้ดีมาก คือเรียกว่า อยู่ในระดับเอาตัวรอดได้แหล่ะ แต่ไม่ fluent และนี่จะเป็นอุปสรรคอันหนึ่งในการเติบโตของผมอีก เพราะว่าผมอยู่ในระดับ management แล้ว เรื่องภาษาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ผมก็เลยสร้างนิสัยใหม่ด้วยการฝึกภาษาอังกฤษทุกวัน วันละ 20 นาที อันนี้้ต้องดูกันต่อไป ว่าจะเลิกมั้ยทำได้แค่ไหน แต่จะพยายามตั้งใจทำให้ดีที่สุด เพราะมันจะดีกับตัวเองจริงๆ

ถ้าคุณอยากเป็นคนหนึ่งที่พัฒนาตัวเอง ลองมองหาสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ แต่มั่นใจว่าทำได้ทุกวันมาทำดูอย่างต่อเนื่องนะครับ เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นอีกระดับหนึ่งเลย (อ้อ ขอให้สิ่งนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบของเป้าหมายคุณในอนาคตด้วยนะ บางคนตั้งใจทำบางเรื่องมากเลย แต่ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับตัวเองหรือ คนอื่นเลย อันนี้ก็ไม่ควร)

สวัสดีตีสี่ครึ่ง เลิกแล้ว

สวัสดีตีสี่ครึ่ง เลิกแล้ว

แม้จะไม่สำเร็จในการผ่าน challenge นี้ได้ แต่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นเยอะมาก และทำให้ได้ประโยชน์กับตัวเองมากด้วยเหมือนกันดังนี้

ได้ทำอะไรหลายอย่างที่ไม่ได้ทำ

ก่อนนี้ไม่ได้มีเวลาอ่านหนังสือเลย ก็ได้อ่านบ่อยขึ้น ก่อนนี้อาทิตย์หนึ่งออกกำลังกาย 1 วัน ก็ได้ออกกำลังกายเกือบทุกวัน ก่อนนี้ blog ที่ร้างไปครึ่งปีก็ได้กลับมาเขียนต่อเนื่อง เหมือนเวลาเพิ่มขึ้นมา แต่เปล่าเลยก็ 24 ชั่วโมงเท่าเดิมนั่นแหล่ะ

ได้ทำงานเยอะขึ้น

ตอนนี้ track เวลาการทำงานของตัวเองอยู่ ซึ่งปกติ คนจะมีเวลาทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่สัปดาห์นี้ track time ไปแล้ว 48 ชั่วโมงครึ่ง และยังไม่หยุด เพราะเสาร์อาทิตย์นี้มีงานต้องทำอีกเพียบ (เวลานี่นับเฉพาะทำงานจริงๆ เช่น ถึง office 9 โมง แต่ถ้าไม่ได้นั่งทำงานอะไร ก็ไม่นับ นับเมื่อเริ่มทำงานจริงๆ และหยุดtrackเมื่อหยุดทำงานจริง เพราะ track แยกกับ activity  อื่นด้วย ดังนั้นจะไม่ใช่แบบว่า ถึง 09.00 กินข้าวถึง 10.00 ก็ถือว่ามาทำงานตั้งแต่ 09.00 นั่นไม่ใช่แบบนั้นนะ ถ้าคนที่เคย track activity ตัวเองจริงๆจะเข้าใจ)

ได้ความรู้ใหม่ๆเพิ่มขึ้น และได้ปรับมองมุมมองใหม่ๆมากขึ้น

อันนี้ส่วนตัวเอง ที่นั่งดู vdo พวกที่ inspire ให้แรงบันดาลใจ เป็นเหมือนการเติมเชื้อไฟให้ตัวเองในทุกๆวัน ความคิดเราเริ่มเปลี่ยน และเราเริ่มรู้ว่า เรากำลังทำอะไร ไปเพื่ออะไรจากที่เมื่อก่อนก็ทำงานไปวันๆ และทำให้รู้ว่า youtube มันเป็นคลังความรู้ที่ใหญ่มากจริงๆ มากกว่ามีเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

หากเราจะตี golf ให้ถึงดวงจันทร์ ถ้าพลาด ก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว

ตอนนี้แม้ว่าตื่น ตีสี่ครึ่งไม่ได้ แต่ตื่นตี 5 ไม่ใช่เรื่องยากเลย ถือว่าดีขึ้นมาก จากเมื่อก่อน ตื่น 7 โมง แล้วก็ได้แค่ทำกิจกรรมส่วนตัวก็หมดเวลาแล้ว

ได้ค้นพบความหมายของ challenge นี้

ค้นพบว่า challenge นี้ ไม่ใช่เรื่องของ “ต้องตื่นตีสี่ครึ่งให้ได้ทุกวัน” แต่มันคือ “คุณได้มีเวลาทำกิจกรรมที่อยากทำ ได้ทำอะไรให้ไปสู่ความสำเร็จมากขึ้น จากการตื่นเช้า”

ปัจจัยที่มากระทบ ทำให้ challenge นี้ไม่สำเร็จ

ชีวิตคนเมืองกรุง ทำได้ยากมาก

ถ้าสังเกตุดีๆ สี่ทุ่ม ชีวิตคนกรุงยังจอแจอยู่เลย ห้างร้านส่วนใหญ่ก็ยังเปิดอยู่ แปลว่าเวลาคนกรุงมีวงจรชีวิตดึก ถ้าจะทำ challenge นี้ต้องเข้านอน 4 ทุ่ม แต่ส่วนใหญ่ 4 ทุ่มยังเดินทางอยู่บ้าง ยังทำกิจกรรมอื่นอยู่บ้าง

งานเยอะ ออกจาก office ดึก ทำให้นอนเร็วไม่ได้

เช่น หลายๆวัน 4 ทุ่มยังอยู่ office อยู่เลย แต่นั่นคือเวลานอนแล้ว -_- แทบไม่ได้กลับบ้านเวลาปกติบ้างเลย

พักผ่อนน้อยเกินไป

ไปนั่งศึกษา Routine ของทหารที่ได้ชื่อว่ามีระเบียบวินัยมากๆ เค้านอน 3 ทุ่ม (แบบบังคับว่าต้องนอนด้วย ถ้าไม่นอนถูกทำโทษอีกต่างหาก) แล้วตื่นตี 5 แบบนี้ทุกวัน ก็เลยคิดว่า แล้วเราเป็นใครที่จะนอนได้เที่ยงคืน ตื่นตี 4 ครึ่ง ถ้าทำแบบนี้เวลานอนจะติดลบ แล้วถึงจุดหนึ่ง ก็จะไม่ไหว แล้วร่างกายจะทวงคืนหมดเลย ซึ่งถึงจุดนั้น วงจรชีวิตก็จะรวนไปหมด

balance ชีวิตไม่ได้ นั่นก็ไม่ใช่ความสำเร็จ

ส่วนตัวคิดว่า ถ้าต้องตื่นตีสี่ครึ่งทุกวัน แต่เวลาทำงานแล้วก็ทำงานไม่ได้ สมองไม่ไป ง่วง แบบนี้ก็ไม่ถือว่าสำเร็จ เพราะนั่นคือไม่สามารถ balance ชีวิตตัวเองได้ แล้ว challenge นี้มันจะมีประโยชน์อะไร

สุดท้าย ก็ยอมรับตรงๆว่าไม่สำเร็จ แม้ว่าตัวเองเป็นคนที่มีวินัยประมาณหนึ่งแล้วนะ แต่การทำให้ได้ตาม challenge โดยใช้ชีวิตทำงานที่ กทม นี่ยากจริงๆ ถ้าต่างจังหวัดอาจจะไม่แน่ เพราะรอบวงจรชีวิต คน กทม กับ ต่างจังหวัดต่างกันพอสมควรเลย ตอนนี้ ก็ลองปรับเวลาตื่นตี 5 แทน แล้วดูต่อไปว่าจะอยู่ตัวมั้ย

สวัสดีตีสี่ครึ่ง วันที่ 8 วันนี้มีฝากเรื่องการเติมเชื้อไฟ

21day early day 8

น่าจะเกิดความเคยชินแล้ว ทำให้เริ่มลงตัวขึ้น แม้ว่าเมื่อคืนจะนอนดึก (เกือบเที่ยงคืน) แต่ก็สามารถตื่นได้เป็นปกติ

activity ตอนนี้หลักๆที่พยายามทำในช่วงเช้าของทุกวันก็คือ การออกกำลังกายที่บางวันก็จะเป็นการ push up (เป้าหมายให้ได้ 100 ครั้ง) หรือ สลับกับการออกกำลังกายที่เน้นกล้ามเนื้อหน้าท้อง จัดการ email งาน และ งานบางส่วน รวมทั้งไป office เช้าขึ้น แม้ว่าต้องเข้านอนเร็ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่า productivity ลดลงแต่อย่างใด เพราะว่าเมื่อก่อน ก็จะไม่ค่อยทำงานเมื่อกลับมาถึงบ้าน เพราะรู้สึกล้า และอยากพัก ก็จะเสียเวลาไปกับการ surf internet ทั่วไปซะมากกว่า และที่แน่ๆ ก็คือ การออกกำลังกายที่ทำไม่ได้ทุกวัน หากต้องทำหลังเลิกงาน เพราะบางวันก็เลิกดึก บางวันก็กลับมาไม่ทัน กลับมาก็อยากพักอย่างที่บอก แต่ตื่นมาทำเรื่องพวกนี้ตอนเช้า ทำให้เราได้ทำมันในทุกๆวันครับ

วันนี้มีเรื่องที่อยากเอามาฝากกัน นั่นคือการเติมเชื้อไฟให้ตัวเองในทุกๆวัน โดยที่ไม่ต้องออกไปเที่ยว เมื่อก่อนผมก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร จนกระทั่งไปเจอ VDO จาก youtube แล้วก็นั่งดูไปดูมาแล้วพบว่า VDO ที่เติมเชื้อไฟให้เรานั้นมีเยอะมาก มากจริงๆ ที่เราดูแทบไม่หมดเลย และพบว่านี่เป็นสิ่งที่ควรทำใน youtube มากกว่าการดูละคร ดู game show ย้อนหลัง สิ่งเหล่านั้นเรารอไปทำทีหลังได้ เรารอไปดูเมื่อวันที่เราประสบความสำเร็จได้ ไปดูเมื่อวันที่เรามีบ้านดีๆแล้ว มีรถขับที่อยากมีแล้ว มีเงินเก็บมาพอที่จะไม่ต้องทำงานนานหลายปีแล้ว แต่ถ้าเรายังไม่อยู่ในจุดนั้น เราก็ต้องสร้างมันขึ้นมานับตั้งแต่วันนี้ การเติมเชื้อไฟ การทำให้ตัวเองดีขึ้น มันเป็นสิ่งที่รอไม่ได้ เลื่อนไม่ได้ ถ้ารอต่อไป ถ้าเลื่อนต่อไป เมื่อไรเราจะสำเร็จ ทุกคนทำแบบเดิมๆในทุกๆวันทั้งๆที่ก็รู้ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้เราสำเร็จหรอก แต่ก็แอบคิดว่า เมื่อไรเราจะสำเร็จสักทีนึง

ก็เลยหยิบ VDO มาตัวหนึ่งที่เป็นตัวอย่างการเติมเชื้อไฟ เสียเวลาดูประมาณ 5 นาที แต่ว่าสิ่งที่จะได้คือเชื้อไฟที่จะเติมให้เรามีพลังที่จะเดินต่อไป ตัวนี้มี sub thai นะครับ แต่ดูเหมือนว่า sub eng จะได้อารมณ์ว่า ก็ถือเป็นการผึกภาษากันไปด้วยนะครับ

VDO เหล่านี้ยังมีอีกเยอะมากที่จะดูได้ไม่รู้จบเลย ค่อยๆดูไปครับ เติมเชื้อไฟให้ตัวเอง สะกดจิตตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนกับเวลาที่คนไปสัมมนาขายตรงทำไมเค้าถึงหลงสมัครได้ เพราะว่าข้างใน ถูกตัดขาดจากภายนอก และสร้าจิตวิทยากลุ่ม ก็เหมือนการถูกสะกดจิตให้เชื่อนั่นแหล่ะ ดังนั้นถ้าเราดูสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อยๆ เราก็จะพบว่า เราทำได้ เราเริ่มในสิ่งที่เราอยากทำได้ เราจะสู้ แม้เราจะล้ม เราก็จะลุกขึ้นสู้เพราะเรารู้ว่าเรากำลังสู้ไปเพื่อเป้าหมายอะไร สิ่งที่จะตามมาคือ ความคิดเราจะเริ่มเปลี่ยน ขึ้นอยู่กับเราตั้งใจดู และดูนานแค่ไหน และเมื่อความคิดเราเปลี่ยนพฤติกรรมเราก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย

ป.ล.สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า สวัสดีตีสี่ครึ่งคืออะไร อ่านได้ที่ วันแรกของ 21 day early ภารกิจ ตื่น 4.30 ต่อกัน 21 วัน!

สวัสดีตีสี่ครึ่ง วันที่ 6 ยังไม่เลิก แม้ว่าเป็นวันหยุด

สวัสดีตีสี่ครึ่ง วันที่ 6

ยังไม่เลิกความตั้งใจและยังคงทำอย่างต่อเนื่อง นาฬิกาก็ยังปลุกเวลาเดิม แม้ว่าวันนี้หยุด(ชดเชย) ก็ตาม ก็ยังคงตื่นขึ้นมาในความมืด ดั่งเช่นทุกวัน

แต่สิ่งที่พบอีกอย่าง คือ กิจกรรมหลังตอนที่ตื่นยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไร พยายามปรับ แต่ดูเหมือนยังไม่ค่อยเหมาะสม อาจจะต้องใช้เวลาอีกพอสมควร เพื่อให้ลงตัวกว่านี้

ส่วนวันนี้ (จริงๆเกือบทุกวันเลย) จะมีอาการประหลาดอย่างหนึ่ง ก็คือ ตื่นก่อนเวลานาฬิกาปลุก อย่างเมื่อคืนก่อน ตื่นตีสามครึ่ง เมื่อคืนตื่นตีสาม คือตื่นแบบลืมตาขึ้นมา แล้วก็ดูนาฬิกา (นาฬิกา digital) แล้วก็ งง ตัวเองว่า จะตื่นทำไมจึงนอนต่อ (ก็หลับต่ออย่างรวดเร็ว) แต่นี่เป็นอาการประหลาดที่เกิดในช่วงนี้เพราะเมื่อก่อนไม่เป็น แต่คิดไปเองว่า อีกหน่อยน่าจะเข้าที่

ส่วนวันนี้ตั้งเป้าว่าจะนั่งสมาธิ และ ออกกำลังกายอีกครั้ง ร่างกายน่าจะได้พักฟื้นมาระดับหนึ่งแล้ว (งดออกกำลังกายไป 2 วันที่ผ่านมา)

สวัสดีตีสี่ครึ่งวันที่ 4 ล้ามาก

สวัสดีตีสี่ครึ่ง วันที่4

เพราะออกกำลังกายอย่างจริงจัง ทุกเช้าสามวันที่ผ่านมา สะสมกับนอนน้อยกว่าปกติ ทำให้ชั่วโมงการนอนติดลบ ร่างกายจึงขอทวงคืน ผลคือ จะหลับได้อย่างรวดเร็วมาก และร่างกายไม่กระปรี้กระเปร่าอย่างที่ควรเป็น ดังนั้น ต้องถอยนิดหนึ่ง ก็คือ งดออกกำลังกาย และวันนี้เป็นวันเสาร์คงต้องมีนอนชดเชยเวลาที่ติดลบไปในระหว่างวันอีกที

สำหรับใครที่ร่วม challenge ก็ต้องรู้ limit ร่างกายตัวเองด้วยนะครับ อย่าหักโหม คือผลักดันตัวเองออกมาจาก comfort zone น่ะเป็นเรื่องที่ดีแต่หากหักโหมจนเกินพอดี สิ่งที่ตามมา จะได้ผลที่กลับด้าน คือ จากได้ประโยชน์จะกลับเป็นเสียประโยชน์เมื่อมองในภาพรวม ดังนั้นต้องบริหารจัดการให้พอดีด้วย

เมื่อวานได้เริ่มสิ่งใหม่อีก 1 challenge ก็คือ 100 Push up หรือ วิดพื้น(ดันพื้น)ให้ได้ 100 ครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่าย และต้องอาศัยการฝึกฝนที่มากพอสมควร จริงๆแล้ว challenge นี้เคยทำสำเร็จมาแล้ว เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ก็กลับเอามาทำอีกครั้งหนึ่งพบว่าก็ยังยากเหมือนเดิม ฮ่าๆๆๆ แต่จะทำให้ได้อีกครั้งอย่างที่ตั้งใจ

Challenge สวัสดีตีสี่ครึ่ง ก็ไม่รู้ว่ามีใครจะทำตามหรือไม่ แต่สำหรับคนที่ทำตาม ก็อยากให้รู้เอาไว้ว่า คนที่จะประสบความสำเร็จได้ เค้าบริหารเวลาได้อย่างแตกต่างจากคนทั่วไป ดังนั้นถ้าอยากประสบความสำเร็จ นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้วครับ ขอให้สู้กันต่อไป

สวัสดีตีสี่ครึ่ง วันที่ 3 ขอท้าคนไทยให้ทำตาม

สวัสดีตีสี่ครึ่ง วันที่3

ขอท้าคนไทยให้ตื่นตีสี่ครึ่ง ติดต่อกัน 21 วัน “เพราะชีวิตเราสั้นเกินกว่าจะบอกว่าไม่มีเวลา” ที่จะทำตามฝัน ที่อยากเรียนภาษา ที่อยากลดน้ำหนัก และอีกมากมายที่เราเขียนใส่กระดาษเป้าหมายในปี 2017 ตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา แล้วก็บอกว่า “ยังไม่มีเวลา” ลองตื่นตีสี่ครึ่งสิ จะได้เวลาขึ้นมาอีกเยอะอย่างเห็นได้ชัด และเอาเวลามาใช้ประโยชน์ได้อย่างจริงจังแบบจับต้องได้ รวมทั้งไม่มีใครรบกวนอีกด้วย

ต่างประเทศเค้าทำตามๆกันอยู่พักหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อนแล้ว ด้วย hashtag #21dayearly แต่คนไทยยังไม่มีใครทำตาม (จากที่ค้นดูแล้วนะ หรือทำแต่ไม่ได้บอกหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ไม่นับรวมชีวิตปกติของบางคนที่จำเป็นต้องตื่นอยู่แล้ว ต้องมาทำกับข้าวขายหรืออะไรประมาณนั้น) ส่วนคนไทยคิดว่าใช้ hashtag #สวัสดีตีสี่ครึ่ง ก็น่ารักดี และดูแปลกอีกด้วย

วิธีการง่ายมาก ตื่นตีสี่ครึ่ง ต่อเนื่องให้ได้ 21 วัน เมื่อนาฬิกาปลุกแล้วต้องตื่นเลย ต้องไม่กลับไปนอนต่ออีก ถ้านอนต่อไม่ไม่นับและปรับแพ้ ลองท้าทายตัวเองดูว่าจะทำได้มั้ย ไม่ได้ยาก ไม่ต้องลงทุนอะไร ใช้ความตั้งใจและการบริหารเวลาส่วนตัวนิดหน่อย แค่นั้นเอง

สิ่งที่ได้ทำเมื่อวาน

ได้ออกกำลังกาย, ได้เขียน blog, ได้ออกไปส่งภรรยา(ที่ปกติไม่ได้ไปส่ง), ได้ทำงานแบบที่ไม่มีใครรบกวน, ได้ดู clip ที่ inspire เรา (เป็นการสร้างแรงบันดาลใจ เติ่มเชื้อไฟ และฝึกภาษา) ซึ่งปกติเราไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เท่าไร เพราะ “ไม่มีเวลา”

สิ่งที่รู้สึกได้รับกลับมาอย่างจริงจัง

ได้รู้สึกว่าเรามีทักษะการฟังภาษาอังกฤษดีขึ้นตามลำดับ เริ่มแยกแยะคำออกมาได้แล้ว เริ่มฟังเพลงสากลรู้เรื่องว่าเค้าร้องว่าอะไรบ้าง กล้ามเนื้อลำตัวด้านหน้า หน้าท้อง มีอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายสองวัน (ถ้าคนที่ออกกำลังกาย weight training จะเข้าใจว่าเป็นอาการบาดเจ็บตามปกติ) เพราะออกกำลังกายที่บ้านแบบไม่ใช้อุปกรณ์ตามนี้ ที่เน้นหน้าท้อง มีเวลาทำงานแบบไม่มีใครรบกวนมากขึ้น จัดสรรและบริหารตัวเองได้ดีขึ้น ได้เขียน blog ต่อเนื่องไม่ต้องทิ้งร้างอีกแล้ว

ยังคงทำกันต่อไป จริงๆก็ตั้งใจว่าจะทำไปตลอดเลย ไม่ใช่แค่ 21 วันหรอกแต่เป้าหมายแรกที่ต้องไปให้ถึงคือ 21 วันต่อเนื่องนั่นแหล่ะ

 

สวัสดีตีสี่ครึ่ง วันที่ 2 ยังทำได้

21dayearly day02

เมื่อคืนนอนดึก จริงๆนอนดึกมาสองคืนแล้ว (เที่ยงคืน) แต่ก็ยังตื่นตีสี่ครึ่งได้ ถ้าถามว่าง่วงมั้ย ไม่นะ หลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้ว เราจะไม่ง่วงเพราะเราไม่ได้อดนอน เราแค่นอนน้อยลง

ได้ประโยชน์อะไรบ้าง

การตื่นเช้าวันแรก(เมื่อวาน) ยัง งงๆ ว่าต้องทำอะไรบ้างดี แต่ก็ได้เขียน blog ที่ร้างมานานหลายเดือน, ได้ออกกำลังกาย, ได้ clear email, ได้วางแผนการทำงานของอีกสามวัน, ได้ฝึกภาษาอังกฤษ, ได้ดูคลิปที่สร้างแรงบันดาลใจ, ได้ถึง office เร็วขึ้น (ทำให้ได้เตรียมพร้อมที่จะทำงาน) และชีวิตไม่ต้องเร่งด่วนอีกด้วย

ง่วงมั้ย

อย่างที่บอกครับ ตื่นแล้วจะไม่ง่วง แต่ช่วงบ่ายเนี่ย มีเคลิ้มๆจะหลับในเอาให้ได้ แต่นอกนั้นก็ปกติดี แล้วเวลาเข้านอนก็จะหลับเร็วมาก ถ้าปกติเป็นคนที่นอนหลับยาก การตื่นเช้าจะช่วยให้เราทำเข้านอนแล้วหลับได้เร็วขึ้นมาก

เสียอะไรไปบ้างล่ะ

ไม่มีครับ นอกจากการนอนที่น้อยลง แต่ที่ถูกต้องเราไม่ควรนอนน้อยลงหรือว่าอดนอน เราควรเปลี่ยนเวลาเข้านอนให้เร็วขึ้นแทน แต่เมื่อคืนออกจาก office ดึกทำให้เข้านอนเร็วไม่ได้เท่านั้นเอง ก็ค่อยๆปรับตาม activity ที่เกิดแต่ละวันกันไป

เป้าหมายก็คือ จะต้องทำต่อเนื่องให้ได้ 21 วัน จะมารายงานกันทุกวันฮะ