สวัสดีตีสี่ครึ่ง วันที่ 2 ยังทำได้

21dayearly day02

เมื่อคืนนอนดึก จริงๆนอนดึกมาสองคืนแล้ว (เที่ยงคืน) แต่ก็ยังตื่นตีสี่ครึ่งได้ ถ้าถามว่าง่วงมั้ย ไม่นะ หลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้ว เราจะไม่ง่วงเพราะเราไม่ได้อดนอน เราแค่นอนน้อยลง

ได้ประโยชน์อะไรบ้าง

การตื่นเช้าวันแรก(เมื่อวาน) ยัง งงๆ ว่าต้องทำอะไรบ้างดี แต่ก็ได้เขียน blog ที่ร้างมานานหลายเดือน, ได้ออกกำลังกาย, ได้ clear email, ได้วางแผนการทำงานของอีกสามวัน, ได้ฝึกภาษาอังกฤษ, ได้ดูคลิปที่สร้างแรงบันดาลใจ, ได้ถึง office เร็วขึ้น (ทำให้ได้เตรียมพร้อมที่จะทำงาน) และชีวิตไม่ต้องเร่งด่วนอีกด้วย

ง่วงมั้ย

อย่างที่บอกครับ ตื่นแล้วจะไม่ง่วง แต่ช่วงบ่ายเนี่ย มีเคลิ้มๆจะหลับในเอาให้ได้ แต่นอกนั้นก็ปกติดี แล้วเวลาเข้านอนก็จะหลับเร็วมาก ถ้าปกติเป็นคนที่นอนหลับยาก การตื่นเช้าจะช่วยให้เราทำเข้านอนแล้วหลับได้เร็วขึ้นมาก

เสียอะไรไปบ้างล่ะ

ไม่มีครับ นอกจากการนอนที่น้อยลง แต่ที่ถูกต้องเราไม่ควรนอนน้อยลงหรือว่าอดนอน เราควรเปลี่ยนเวลาเข้านอนให้เร็วขึ้นแทน แต่เมื่อคืนออกจาก office ดึกทำให้เข้านอนเร็วไม่ได้เท่านั้นเอง ก็ค่อยๆปรับตาม activity ที่เกิดแต่ละวันกันไป

เป้าหมายก็คือ จะต้องทำต่อเนื่องให้ได้ 21 วัน จะมารายงานกันทุกวันฮะ

วันแรกของ 21 day early ภารกิจ ตื่น 4.30 ต่อกัน 21 วัน!

21dayearly วันแรก

เริ่มนี้เริ่มต้นจาก ชายคนหนึ่ง ที่เค้าเริ่มภารกิจ เปลี่ยนเวลาตื่นเป็น 04.30 น. ของทุกวันให้ได้นาน 21 วัน ด้วยเหตุผลเบื้องหลังที่เรียบง่าย ก็คือ เมื่อตื่นเช้ากว่า เวลาชีวิตก็มีมากขึ้น เพราะว่าตื่นเช้าเราจะทำงานได้มากกว่าการนอนดึก เนื่องจาก การรบกวนที่มีน้อยกว่า เช่น สมองไม่ล้า จากการทำงานหนักมาทั้งวัน , เวลาตอบอีเมลก็ตอบได้รัวๆ โดยที่ไม่มีใครตอบกลับมาในตอนนั้น เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่ตื่นกัน ส่วนที่ต้อง 21 วันต่อเนื่อง มาจากงานวิจัย ที่กล่าวไว้ หากเราต้องการทำนิสัยที่ดีๆบางอย่างให้ติดตัวกับเราไป เราต้องทำต่อเนื่องกันเป็นเวลา 21 วัน ซึ่งชายคนแรกที่ทำ ทำต่อเนื่องนานเป็นปีทีเดียว (และก็ทำต่อไป)

ผมเคยปรับเวลาตื่นจากปกติประมาณ 6 โมงเป็นตี 5 แต่สิ่งที่ได้คือ ก็ไม่ตื่น และก็กด snooze ไปเรื่อยๆอยู่นั่นแหล่ะ จนเลิกไปเฉยๆ นอกจากนั้นนิสัยการนอนก็เปลี่ยนไปค่อยตื่นสายขึ้น จนปัจจุบัน ตั้งปลุก 6 โมง แต่ snooze และตื่นจริง 7 โมง!

ดังนั้นภารกิจตื่นนอน 04.30 จึงต้องเริ่ม กฏ กติกา มารยาท เรียบง่ายมาก คือ ต้องตื่น 04.30 ทุกวันต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 21 วัน, เมื่อมีนาฬิกาปลุกต้องตื่นทันที ห้าม snooze ห้ามนอนต่อ แค่นั้นครับ เรียบง่าย

ตื่นขึ้นมาทำอะไร? เรามีฝันอะไรที่เราอยากทำมั้ยล่ะ ทุกคนมี แต่ไม่มีเวลาทำ! ดังนั้น นี่คือเวลาที่เราจะได้ทำฝันของเราให้มันเป็นจริง ถ้าคนที่ไม่มีงานหรือภารกิจอะไรเร่งด่วนของชีวิต ไม่ต้องทำงาน office ที่ค้างมาจากเมื่อวานและวันก่อน ก่อนๆๆๆๆ ก็ฝึกภาษาอังกฤษสิครับ ภาษาอังกฤษดีพอที่จะสื่อสารหรือทำงานในบริษัทข้ามชาติแล้วหรือยัง เรามี skill ที่อยากเรียนรู้อีกมั้ย ภาษา programming ใหม่ๆ เทคนิคแปลกๆ หรืออื่นๆที่อยากเรียนรู้แล้วอยากทำ นี่คือเวลาชีวิตที่จะได้เพิ่มขึ้นมา

ชีวิตเราสั้นมากเกินกว่าจะบอกว่าไม่มีเวลาทำ แล้วเราก็ตายจากโลกนี้ไปโดยที่ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ

แถมท้ายอีกเรื่อง สำหรับคนที่ตื่นยาก ตื่นแล้วนอนต่อหรือ snooze ไปเรื่อยๆ การ snooze หรือ มีสิ่งที่มาปลุกแล้วเราไม่ตื่น จริงๆทำให้เราเหนื่อยกว่าปกติ เพราะเราน่าจะนึกออกเวลาที่เราตื่นนอน มันทรมานแค่ไหน เราไม่อยากตื่น เราอยากนอนต่อ แล้วเราก็ตัดสินใจที่จะนอนต่อ แล้วเราก็ถูกปลุกขึ้นมาอีก แล้วเราก็เหนื่อย ไม่อยากตื่น แล้วนอนต่อ นั่นทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ แล้วก็วนไปเรื่อยๆจนกว่าจะตื่นจริง สรุปสุดท้าย ไม่ได้พักผ่อนมากขึ้นเลย กับการหลับๆตื่นๆนั้น ตื่นไปเลยย่อมจะดีกว่า

มนุษย์เงินเดือนแบบต่างๆ และการปรับปรุงตัว เพื่อพัฒนาตัวเอง

improve-yourself-salary-man

ตอนนี้ผมต้องบริหารลูกน้องเป็นจำนวนมาก ซึ่งผมก็จะพอมองออก ว่าแนวทางของแต่ละคนทำงานเป็นอย่างไร แล้วเค้าเหล่านั้น ควบคุมลูกน้องของตัวเองเป็นอย่างไร รวมถึง มีการพัฒนาตัวเองได้อย่างไรก็ ก็จากการตอบสนองเวลาทำงานด้วยกันนี่แหล่ะ

นักศึกษา

บางคน ปรับปรุงตัวทุกครั้งที่ผมแนะนำ ผมถือว่าคนเหล่านี้คือคนที่น้ำไม่เต็มแก้ว พร้อมให้เติมตลอดเวลา และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์การทำงานได้ทุกรูปแบบ ทุกบริษัทที่เค้าทำงาน คนแบบนี้ ถ้าอยู่ถูกที่ จะโตเร็วมาก

นักเถียง

บางคน ที่จะเถียงตลอด ซึ่งผมชอบเหมือนกัน เพราะเป็นคนที่กล้าออกความเห็น และความเห็นก็อาจจะนำไปซึ่ง solution ใหม่ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ แต่หลังจากนั้น จะแสดงออกทางพฤติกรรมเป็นสองแบบ หนึ่งคือ เถียงแล้วก็ไม่ฟัง ยังคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดถูก ซึ่งท้ายที่สุด ผลออกมาคคือตัวเองคิดผิด คนแบบนี้ ย่ำอยู่กับที่แล้ว เพราะน้ำเต็มแก้ว เข็นให้โตยาก จะโตได้ด้วยตัวเองเท่านั้น (ทำงานแบบไม่มีเจ้านาย) กับ สองก็คือ เถียง เพื่อหาข้อสรุป แล้วดำเนินการตามข้อสรุป จนได้ผลออกมาอย่างที่ควรจะเป็น คนแบบนี้ ถ้าได้อยู่บริษัทฝรั่งจะเหมาะมาก โตเร็วแบบพุ่งกระฉุดเลย เพราะถือว่าเป็นคนที่มีความคิด กล้าเสนอ idea (ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่เป็นแบบนี้)

นักค้าน

บางคน จะเอาชนะ เถียงอย่างเดียว รับฟังในสิ่งที่ตรงกับที่ตัวเองคิด และสนับสนุนแต่สิ่งที่ตัวเองคิดเพียงอย่างเดียว ที่เหลือ ค้านหมด ไม่ใช่ค้านเพื่อนำเสนอ แต่ค้านเพื่อหักล้างอย่างเดียว คนแบบนี้เป็นคนที่ไม่น่าร่วมงานด้วย เพราะว่า ไม่ทำให้บริษัทก้าวหน้า ยังเป็นตัวฉุดรั้งบริษัทอีกต่างหาก

นักเรียน(ที่ไม่รู้จักจำ)

บางคน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถ้าเป็นเรื่องใหม่ ไม่รู้เรื่องนั้นไม่แปลก ก็ต้องผ่านการเรียนรู้ การสอน การแนะนำ แต่หลังจากนั้น ก็ยังไม่รู้เรื่องอีก ในเรื่องที่เคยบอกไปแล้ว ต้องให้คนมาสอนซ้ำๆ คนแบบนี้ต้องระวัง เพราะว่าจะไม่ผ่าน probation เอาได้ง่ายๆ

นักสู้(แล้วก็ถอย)

บางคน ทำงานไปในแบบที่รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง คนไหนสอนอะไรมาก็จำบ้าง ไม่จำบ้าง ทำๆหยุดๆ เดี่ยวฟิตเดี๋ยวหยุด หาความสม่ำเสมอไม่ได้ แบบนี้ จะ performance ดีเป็นช่วงเวลา แต่ผลรวมออกมาคือ ให้ทำงานได้แต่ไว้ใจไม่ได้

ทั้งหมดนี้ ให้ลองพิจารณาตัวเองดูว่าเข้าข่ายข้อไหน ถ้าเป็นข้อที่ไม่ดี ก็ให้รีบปรับปรุงตัวได้เลย โดยผมก็มีสูตรสำเร็จในการปรับปรุงตัวมาบอกด้วย ไม่ยากครับ

วินัย

ถ้านึกไม่ออกว่า อย่างไรคือมีวินัย ให้ลองนึกถึงทหาร ที่ต้องตื่นตรงเวลา ทำกิจวัตรต่างๆอย่างมีแบบแผนที่ตายตัว (เวลาที่ฝึก หรือไม่ได้ออกรบ) เพราะวินัยจะเป็นตัวขับเคลื่อนพฤติกรรมอีกหลายอย่างที่ดีและไม่ดี แต่ว่าเป็นสิ่งพื้นฐานที่ต้องมีเลย การจะทำตัวเองให้มีวินัยก็ง่ายมาก แค่พยายามตื่นให้ตรงเวลาทุกวัน หรือ นาฬิกาปลุกปุ้บ ลุกปั้บ หรือว่าพยายามเข้านอนให้ตรงเวลาทุกวัน (ย้ำว่าพยายาม เพราะชีวิตแต่ละคนแต่ละวันไม่เหมือนกัน)

จัดตารางชีวิต

นึกถึงสมัยเรียนที่คุณครูบอกให้จัดตารางสอน ก็แบบนั้นแหล่ะครับ เราต้องจัดตารางชีวิตเราเพื่อให้รู้ว่า ช่วงเวลาไหน จะต้องทำอะไร และถ้าจะให้ดี ควรระบุเอาไว้ด้วย ว่าสิ่งที่เราควรจะได้จากช่วงเวลาเหล่านั้นคืออะไรบ้าง ถ้าเราจัดโดยที่เราไม่รู้เป้าหมาย เมื่อถึงเวลาเราก็ไม่อยากทำ เพราะไม่รู้ว่าทำไปทำไม สิ่งนี้ จะได้วินัยเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดขึ้นได้จริง

มีสติ

คนส่วนใหญ่เลย ใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีสติอยู่กับตัว เพราะวันหนึ่งความคิดคนเรามีมาก 50000-60000 เรื่องต่อวัน จิตเราก็เลยคิดไปเรื่อยๆ ถึงเรื่องที่ทำงาน ที่บ้าน ครอบครัว เงิน งาน เพื่อน เที่ยว ฯลฯ ตลอดทั้งวัน แล้วอย่างยิ่งเวลาที่เรานัดเพื่อน เพื่อกินอาหาร แล้วพูดคุยกัน ช่วงเวลานั้นก็จะยิ่งฟุ้งซ่านไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้นไปอีก ทำให้เรายิ่งขาดสติไปอีก (ยังไม่นับเครื่องดื่ม แอลกฮอลล์อีกนะ) เพราะจิตเราก็คิดแต่จะนินทาว่าร้ายคนอื่นไปเรื่อยๆ แต่หากมีสติ พิจารณาแล้วเราจะรู้ว่า เวลานั้นเราเปลี่ยนไปทำประโยชน์อย่างอื่นให้กับเราจะดีกว่ามากๆ ตรงนี้ วิธีการก็คือ ให้เราพยายามระลึกถึงตัวเอง ว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ ทั้งๆที่เรากำลังทำสิ่งนั้นนั่นแหล่ะ เช่น เราแปรงฟันอยู่ บอกกับตัวเองอย่างนั้น เรื่อยๆ ในเวลาที่เราแปรงฟัน เพราะหลายคน เวลาแปรงฟันจะเป็นเวลาที่ฟุ้งซ่านมาก พยายามระลึกตัวเองให้ได้ตลอดทั้งวัน ง่ายๆแค่นี้เราก็เป็นคนที่มีสติขึ้นแล้ว

ง่ายๆแค่สามข้อนี้แหล่ะ ที่จะทำให้เราพัฒนาตัวเองขึ้นได้มาก และจะประสบความสำเร็จได้อย่างไม่ยากเลย และฝากเอาไว้คำนึง

จงเปลี่ยนตัวเองซะ ก่อนที่บริษัทจะบังคับคุณให้เปลี่ยน(งาน)

redis กับ MongoDB เปรียบเทียบ ใช้ตัวไหนดีกว่ากัน

presented-by

คำถามยอดฮิด ผมเองก็เคยถามตัวเองเหมือนกัน ว่าเราจะเลือกได้อย่างไร ว่าเราจะใช้ redis หรือ MongoDB ดีกว่ากัน

ก่อนอื่น คงต้องให้คนอ่านทำความเข้าใจก่อน ว่า redis คืออะไร คือ database ที่ทำงานได้เร็วมาก และ mongoDB คืออะไร และตัวอย่าง mongoDB

เก็บข้อมูลถาวรหรือเปล่า

ง่ายมาก ถ้าข้อมูลที่เราต้องทำงานด้วยเป็นข้อมูลที่สำเนาชุดเดียว ไม่มีเก็บที่อื่นอีก อันนี้ MongoDB แน่นอนเพราะ มีความน่าเชื่อถือในการเก็บข้อมูลถาวรมากกว่า redis

ต้องการความเร็วสุดๆมั้ย

ถ้าต้องการความเร็วสุดๆ Redis ให้คุณได้มากกว่า MongoDB อย่างแน่นอน ทั้งอ่านและเขียนเลย โดยเฉพาะเมื่อเรา config ให้ redis ทำงานบน ram อย่างเดียวแล้วจะเร็วกว่ามากๆ และไม่รวนด้วย

ความซับซ้อนของข้อมูลที่เก็บ

ทั้ง redis ,mongoDB รองรับการเก็บข้อมูลเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนระดับหนึ่งทั้งคู่ คือไม่ใช่แค่ key value อย่างเดียว มี field ต่างๆด้วยในด้วย ถือว่า ข้อนี้ให้เสมอกัน

ความหลากหลายในการทำงาน

ข้อนี้ redis กินขาดเลย เพราะว่า redis รองรับการทำงานที่หลากหลาย ทั้ง sort, set, list, pub/sub และอื่นๆ ที่ต่างจาก mongoDB ทำงานเน้นที่ storage เป็นหลักเลย

ขนาดของข้อมูล

ถ้าใหญ่ ให้ mongoDB เลย เพราะ redis ทำงานบน RAM ที่ราคาแพงกว่า Harddisk/SSD มากๆ ทำให้ทรัพยากรที่รองรับการทำงานมีจำกัดด้วย

ความนิยม

mongoDB ได้รับความนิยมกว่ามาก คนใช้เยอะ คู่มือหลากหลาย ตัวอย่างอีกเพียบ redis ก็ยังตามมาอยู่ห่างๆ ไม่ได้หยุดอยู่กับที่

ความยากง่ายในการใช้งานจริง

ถ้าเป็นคนที่เข้าใจการใช้งานแล้ว (ไม่พูดถึงมือใหม่) redis ใช้งานง่ายกว่ามากๆ เพราะคำสั่งที่ให้จำเพิ่มมีไม่เยอะ และตรงไปตรงมา เงื่อนไขเวลาทำงานก็แทบไม่มีเลย

แล้วทำไมต้องเลือก database ตัวเดียว?

ข้อนี้ผมอยากให้ทุกคนที่ได้อ่าน ลองคิดสักนิดหนึ่ง ทุกอย่างในโลกไม่ได้มีคำตอบเดียว ระบบต่างๆ ก็ไม่จำเป็นต้องทำงานบน database ชนิดเดียว ผมมีงานหนึ่งที่ implement ให้ลูกค้า ราคา project นี้หลายแสนบาท ผมทำงานอยู่คนเดียวทั้งหมด ผมใช้ database MySQL + Redis โดยแบ่งส่วนการทำงานจากกันเป็นส่วนๆ เช่น เก็บข้อมูลถาวรก็เก็บลง MySQL เวลาใช้งานก็อ่านขึ้นมาเก็บ Redis จากนั้นก็อ่านจาก redis ตลอดไป เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งถ้าคุณทำงานแล้วจะใช้ MySQL + mongoDB + Redis + memcache ก็ไม่ผิด แต่ต้องแยกแยะให้ออกว่า จังหวะไหนต้องใช้ตัวไหน เพราะการที่เรามี database หลากหลาย นั่นหมายถึงการ maintenance ยากและใช้เวลามากขึ้นรวมถึงใช้ resource ที่มากขึ้นด้วย

ดังนั้น อยากให้พิจารณาที่เรื่องการออกแบบเชิง software architecture มากกว่า เพราะว่าสุดท้ายเมื่อเราออกแบบเสร็จและพิจารณาจากการใช้งาน ความถี่ ขนาดของข้อมูลและอื่นๆแล้วเราก็จะได้คำตอบเอง

แนะนำการใช้ tomsplanner

tomsplanner

วันนี้มาเสนอเครื่องมือ สำหรับ project manager เอาไว้จัดการ timeline แบบง่ายมากๆ ฟรี ดีด้วย รวมทั้งวิธีการบริหาร project พร้อมๆกันเลย

หากคุณยังเทสีใส่ excel แบบนี้ เลิกเถอะ ผมมีเครื่องมือที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายกว่านี้อีกเยอะ

excel timeline

อย่าจำ timeline

สมองเรามีพื้นที่จำกัด ดังนั้นเราต้องเก็บเอาไว้ใช้กับเรื่องที่สำคัญเท่านั้น และจำเรื่องที่จำเป็นต้องจำจริงๆ อย่าเอาพื้นที่มาจำ timeline ของ project เลย โดยเฉพาะคนที่ถือมากกว่า 1 project

อ่านต่อ… “แนะนำการใช้ tomsplanner”

review whey FitWhey – hyper-whey

review fitwhey hyper whey

รีวิว รสชาติ และ texture ของ whey FitWhey  –  hyper-whey ฉลากเทา

มาตรฐานการกิน

อันนี้ส่วนตัวผมเอง ก็คือ 1 scoop ประมาณ 35 grams กับน้ำอุณหภูมิห้อง 250 cc อ่านต่อ… “review whey FitWhey – hyper-whey”

คุณพ่อภรรยาผู้ลาจาก

leave alone

สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ผมติดภาระกิจ ทำให้ไม่สามารถ update ได้เหมือนเดิม เนื่องจากพ่อของภรรยาผมจากไป ด้วยโรคมะเร็งตับ

มะเร็งตับ โรคร้าย ที่เป็นแล้วตายทุกคน

เท่าที่ผมหาความรู้และอ่านประสบการณ์มาจากหลายๆคนใน internet พบว่า ทั้งหมด เสียชีวิตในระยะเวลาที่มากน้อยต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระยะที่เจอ ว่าเจอระยะไหน แต่ว่าทั้งหมดยังไม่มีใครบอกว่า รอดมาได้นานหลายปีเลย หรือถ้ามีก็น้อยมาก อ่านต่อ… “คุณพ่อภรรยาผู้ลาจาก”